ตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณอันตราย เศรษฐกิจจีนเสี่ยงซ้ำรอยญี่ปุ่น
10-1-2025
เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณอันตราย หลังราคาสินค้าหน้าโรงงานดิ่งลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 27 ในเดือนธันวาคม และอัตราเงินเฟ้อแทบจะเป็นศูนย์ ก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 11 วันข้างหน้า
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ต้นทุนขายส่งลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% สร้างความกังวลต่อความสามารถของรัฐบาลจีนในการหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจแบบญี่ปุ่น โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตร ที่ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีกับพันธบัตรสหรัฐฯ แตะระดับ 300 จุดพื้นฐาน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นักวิเคราะห์ระบุว่า ความคาดหวังที่ว่าทรัมป์จะกลับมาขึ้นภาษีนำเข้าและเสนอมาตรการลดหย่อนภาษี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมาก กดดันให้ธนาคารกลางจีนต้องพยายามรักษาค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าลงเกิน 7.2 หยวนต่อดอลลาร์
แม้จะมีสัญญาณบวกบ้าง เช่น ภาคการผลิตที่ขยายตัวติดต่อกัน 3 เดือน แต่ปัจจัยบวกยังมีจำกัด ท่ามกลางความไม่แน่นอนในปี 2025 โดยความต้องการภายในประเทศที่อ่อนแอส่งผลให้บริษัทจีนต้องลดการผลิต ชะลอการจ้างงาน และเลิกจ้างพนักงาน
รัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การให้เงินอุดหนุน 15% สำหรับการซื้อสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ รวมถึงออกโครงการบัตรกำนัลในเมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคบริการ และในเมืองหูเป่ยและเสฉวนเพื่อกระตุ้นการซื้อเฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม เอียน เบรมเมอร์ ประธาน Eurasia Group เตือนว่า การที่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนแย่ลง โดยเฉพาะหากมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนถึง 60% ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่การเติบโตซบเซา เงินเฟ้อยังคงสูง และระดับหนี้อยู่ในระดับประวัติศาสตร์
ด้านโกลด์แมน แซคส์ ชี้ว่า กรณีของญี่ปุ่นในทศวรรษ 1990 อาจเป็น "บทเรียน" สำหรับการประเมินอนาคตของสินทรัพย์จีน แม้ว่าภาวะราคาตกต่ำอาจเป็นผลดีต่อผู้บริโภคเสมือนการลดภาษีทางอ้อม และอาจเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการขยายกิจการ รวมถึงหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงและบริษัทส่งออกที่มีธุรกิจหลากหลาย
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไต้หวันที่อาจตึงเครียดขึ้นในปี 2025 แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นวิกฤตเต็มรูปแบบ ขณะที่ค่าเงินหยวนก็เป็นอีกประเด็นที่น่าจับตา โดยธนาคารกลางจีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากนักเก็งกำไรที่พยายามกดดันค่าเงินหยวน ท่ามกลางผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 และวิกฤตเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2551
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก S&P Global คาดการณ์ว่า ผลกระทบต่อการลงทุนจะเริ่มปรากฏให้เห็นก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มใช้มาตรการภาษี เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการจ้างงาน รายได้ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะที่จีนยังต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรง อัตราการว่างงานของเยาวชนสูง และภาระหนี้มหาศาลของรัฐบาลท้องถิ่น
สรุปประเด็น นักวิเคราะห์ระดับโลกจับตาจีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืด หลังเงินเฟ้อวูบ-ราคาสินค้าดิ่ง หวั่นเศรษฐกิจทรุดหนักรับทรัมป์
-โกลด์แมน แซคส์ เปรียบเทียบกับกรณีของญี่ปุ่นในทศวรรษ 1990 ว่าอาจเป็น "บทเรียน" สำหรับการประเมินอนาคตของสินทรัพย์จีน
มีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์สถานการณ์ไว้ดังนี้:
-ไมเคิล เพ็ตติส (Carnegie Endowment) ชี้ว่าแม้ตัวเลขจะดีขึ้นกว่าเดือนก่อน แต่เป็นเดือนที่ 4 แล้วที่ราคามีการเปลี่ยนแปลงจากศูนย์ถึงติดลบ
-ไบรอัน ไทคังโก (Stansberry Research) เตือนว่าภัยคุกคามจากภาวะเงินฝืดเป็นเรื่องจริงและกำลังเพิ่มขึ้น รัฐบาลจีนควรใช้เป็นสัญญาณในการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ
-อลิเซีย การ์เซีย เฮอร์เรโร (Natixis) แสดงความกังวลว่าจีนจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโมเดลเศรษฐกิจโดยเร็ว มิฉะนั้นปี 2025 อาจจบลงอย่างแย่
-S&P Global เตือนว่าผลกระทบต่อการลงทุนจะเริ่มปรากฏก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มใช้มาตรการภาษี เพราะความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
---
IMCT NEWS : Photo China deflation. Graphic: Finanzmarktwelt
ที่มา https://asiatimes.com/2025/01/chinas-zero-inflation-troubles-getting-harder-to-ignore/