.

รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ประกาศชัด สหรัฐฯ ไม่หวั่นเผชิญหน้าจีน พร้อมสู้จนชนะหากจำเป็น
2-6-2025
เฮกเซธ เตือนจีน สหรัฐฯ พร้อมเพิ่มอาวุธให้ไต้หวัน ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีน ท่ามกลางความตึงเครียดในอินโด-แปซิฟิก
CNBC รายงานว่า พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันเสาร์ว่าสหรัฐฯ พร้อมที่จะ "ต่อสู้และเอาชนะ" จีน หากความพยายามในการยับยั้งไม่ประสบผลสำเร็จ พร้อมกับเรียกร้องให้พันธมิตรในเอเชียเสริมสร้างการประสานงานทางทหารและเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม
ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่การประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงประจำปี Shangri-La Dialogue ในสิงคโปร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของวอชิงตันในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางทหารปะทุขึ้นทั่วโลก ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งในฉนวนกาซา
ขณะที่แสดงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก นายเฮกเซธได้วิพากษ์วิจารณ์การขาดหายไปของรัฐมนตรีกลาโหมจีน โดยกล่าวว่า "เราอยู่ที่นี่เช้านี้ แต่บางคนไม่ได้อยู่" รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เรียกร้องให้ผู้นำทางการเมืองและกลาโหมที่เข้าร่วมการประชุมดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการต่อต้านแรงกดดันทางทหารที่เพิ่มขึ้นของจีนในทะเลจีนใต้และรอบไต้หวัน
"จีนได้แสดงให้เห็นว่าต้องการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมของภูมิภาคอย่างสิ้นเชิง เราไม่สามารถละเลยหรือเพิกเฉยได้ พฤติกรรมของจีนที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านและต่อโลกเป็นสัญญาณเตือนที่เร่งด่วน" นายเฮกเซธกล่าว
"เราขอและเรียกร้องให้พันธมิตรและหุ้นส่วนของเราทำหน้าที่ในการป้องกันประเทศของตน" เขากล่าวเสริม "งบประมาณด้านการป้องกันประเทศของเราต้องสะท้อนถึงอันตรายและภัยคุกคามที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เพราะการยับยั้งไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาในราคาถูก"
คำกล่าวที่แข็งกร้าวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง ขณะที่ความหวังในการบรรลุข้อตกลงหลังจากการพักรบชั่วคราวด้านภาษีศุลกากรในช่วงต้นเดือนเริ่มจางหายไป
นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวกับฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน "หยุดชะงักเล็กน้อย" และสมควรที่ผู้นำของทั้งสองประเทศจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม
รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่ากิจกรรมของจีนในทะเลจีนใต้บ่อนทำลายอธิปไตยและคุกคามเสรีภาพในการเดินเรือและการบิน ขณะที่ปฏิบัติการทางทหารใกล้ไต้หวันส่งสัญญาณถึงความตั้งใจชัดเจนในการเพิ่มแรงกดดันต่อเกาะแห่งนี้
นายเฮกเซธยังให้คำมั่นที่จะยกระดับความมั่นคงในพื้นที่ใกล้สหรัฐฯ ด้วยการขจัดอิทธิพล "อันเป็นภัย" ของจีนเหนือคลองปานามา โดยกล่าวว่า "นี่เป็นพื้นที่สำคัญ จีนไม่ได้สร้างคลองนั้น เราต่างหากที่สร้าง และเราจะไม่ยอมให้จีนนำมาใช้เป็นอาวุธหรือควบคุมมัน"
ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จีนประกาศว่าพร้อมที่จะทำสงคราม "ทุกรูปแบบ" กับสหรัฐฯ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อจีน "หากสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการคือสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามประเภทอื่นใด เราพร้อมที่จะสู้จนถึงที่สุด" สถานทูตจีนในสหรัฐฯ ระบุในโพสต์
ที่น่าสังเกตคือ รัฐมนตรีกลาโหมของจีน นายต่ง จุน ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดในปีนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของจีนไม่เข้าร่วมงานนี้นับตั้งแต่ปี 2019 โดยปักกิ่งส่งคณะผู้แทนระดับรองลงมาแทน นำโดยพลตรีหู กังเฟิง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการป้องกันประเทศแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชน
การขาดหายไปของเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของจีนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะมีการประชุมทวิภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่กลาโหมของจีนและสหรัฐฯ หรือไม่ เมื่อปีที่แล้ว นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ในขณะนั้น และนายต่ง ได้จัดการประชุมทวิภาคีนอกรอบการประชุมความมั่นคง ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาการเจรจาทางทหารไว้
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการขาดหายไปของรัฐมนตรีกลาโหมจีนอาจเป็นความพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะและความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ในประเด็นร้อน เช่น ไต้หวันและทะเลจีนใต้
นายดรูว์ ทอมป์สัน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันการศึกษา S. Rajaratnam และอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อธิบายว่า "ปักกิ่งต้องการควบคุมเรื่องราวและการอภิปรายอยู่เสมอ แต่เวที Shangri-La ไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้นได้"
ตามรายงานของรอยเตอร์ รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนจะเพิ่มการขายอาวุธให้ไต้หวันเกินกว่าระดับ 18,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อนุมัติในสมัยแรกของทรัมป์ ซึ่งสูงกว่า 8,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อนุมัติในสมัยประธานาธิบดีไบเดน แพ็กเกจอาวุธที่เสนอจะเน้นที่ระบบที่คุ้มค่า เช่น ขีปนาวุธ กระสุนและยุทโธปกรณ์ และโดรน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการยับยั้งของไต้หวัน ขณะที่ปักกิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเกาะประชาธิปไตยแห่งนี้
สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรและซัพพลายเออร์อาวุธที่สำคัญของไต้หวันมาหลายทศวรรษ โดยปักกิ่งเรียกร้องให้วอชิงตันยุติการกระทำดังกล่าวและหยุดสร้างความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน
ปักกิ่งอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวันว่าเป็นดินแดนของตน และให้คำมั่นว่าจะ "รวมชาติ" กับเกาะที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้ โดยใช้กำลังหากจำเป็น ขณะที่รัฐบาลไต้หวันปฏิเสธข้ออ้างเรื่องอธิปไตยของปักกิ่ง
เป็นเวลาหลายปีที่จีนเพิ่มแรงกดดันทางทหารอย่างต่อเนื่องเพื่อยืนยันการอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวัน โดยส่งอากาศยานและเรือรบเข้าใกล้เกาะเป็นประจำ
ในการประชุม Shangri-La Dialogue ปีที่แล้ว นายต่งได้เตือนว่ากองกำลังใดก็ตามที่มีเป้าหมายแยกไต้หวันออกจากจีนจะต้องเผชิญกับ "ความพินาศ" และเน้นย้ำว่าประเด็นไต้หวันเป็น "หัวใจสำคัญของผลประโยชน์หลักของเรา" นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อไต้หวัน ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์เคยเสนอให้ไต้หวันจ่ายเงินเพื่อการคุ้มครองของสหรัฐฯ และกล่าวหาว่าไต้หวันดึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกาไป สร้างความกังวลในไทเป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.cnbc.com/2025/05/31/pentagon-chief-hegseth-says-us-ready-to-fight-and-win-against-china.html