ทองคำ-อิเล็กทรอนิกส์ดันส่งออกไทย เติบโต 13.6%

ทองคำ-อิเล็กทรอนิกส์ดันส่งออกไทย 25,277 ล้าน$ เติบโต 13.6%
27-2-2025
SCB EIC รายงานว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือนมกราคม 2568 เติบโตสูงถึง 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) มีมูลค่า 25,277 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เร่งตัวขึ้นจาก 8.7% ในเดือนธันวาคม 2567 โดยตัวเลขเดือนนี้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก (SCB EIC ประเมินไว้ที่ 6.9% และค่ากลาง Reuters Poll 7.2%) ปัจจัยหลักมาจากการส่งออกทองคำ การเติบโตของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และการเร่งส่งออกก่อนที่นโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลในวงกว้าง
การส่งออกทองคำในเดือนมกราคมขยายตัวสูงมากถึง 148.9% เทียบกับ 7.2% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสวิตเซอร์แลนด์ (5,716.1%) และสิงคโปร์ (2,577.9%) นอกจากนี้ ยังพบประเด็นพิเศษว่า การส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆ ขยายตัวมากถึง 3,418.1% ซึ่งเกือบทั้งหมดส่งออกไปยังตลาดอินเดีย
SCB EIC ประเมินว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นการส่งออกทองคำในรูปของทองคำผสมแพลทินัมในสัดส่วนไม่มากเพื่อประโยชน์ทางภาษีของผู้นำเข้าอินเดีย ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยเดือนมกราคม 2568 ขยายตัวสูงถึง 13.6% โดยหากไม่รวมทองคำและสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าพิเศษนี้ มูลค่าการส่งออกที่สะท้อนกิจกรรมการส่งออกที่แท้จริงจะเติบโตเพียง 6.2%
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากทางการอินเดียได้ปรับปรุงอัตราการจัดเก็บภาษีนำเข้าทองคำ เงิน แพลทินัม อัญมณี และเครื่องประดับต่างๆ หลายครั้งในช่วงปี 2565-2567 การปรับปรุงในปี 2567 ได้เปิดช่องว่างทางกฎหมาย โดยกำหนดว่าทองคำที่มีส่วนผสมของแพลทินัมหรือเงินไม่ต่ำกว่า 2% จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะเสียอัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าการนำเข้าทองคำปกติ
เมื่อทางการอินเดียแก้ไขช่องว่างนี้ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ผู้นำเข้าอินเดียจึงเปลี่ยนกลยุทธ์มานำเข้าทองคำผสมแพลทินัมจากแทนซาเนีย แอฟริกาใต้ และไทยแทน เพื่อให้เสียอัตราภาษีนำเข้า 0% ตามโครงการ Duty Free Tariff Preference (DFTP) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย ส่งผลให้ไทยส่งออกโลหะมีค่าเพิ่มขึ้นมากจากปกติที่ราว 20-40 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สู่ระดับ 113.6, 486.2 และ 998.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม 2567 และเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ทางการอินเดียจะปรับปรุงกฎหมายนี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568
- สินค้าอุตสาหกรรม: ขยายตัว 17% เติบโตต่อเนื่อง 10 เดือน (เดือนก่อน 11.1%) โดยอัญมณีและเครื่องประดับหักทอง, ทองคำยังไม่ขึ้นรูป, เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เป็นสินค้าหลักที่ขยายตัว
- สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร: ขยายตัวชะลอลงเหลือ 3% (เดือนก่อน 6.7%) โดยผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวดี
- สินค้าแร่และเชื้อเพลิง: กลับมาขยายตัว 0.3% หลังจากหดตัวติดต่อกัน 4 เดือน โดยเฉพาะเดือนก่อนที่หดตัวมากถึง -33.7%
- สินค้าเกษตร: กลับมาหดตัว -2.2% หลังขยายตัวสูง 10.7% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะยางพารา ขณะที่ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และข้าว หดตัว
การส่งออกรายตลาดหลัก
- อินเดีย: ขยายตัวสูง 129.8% (เดือนก่อน 62.7%) โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัวมากถึง 1,846%
- สวิตเซอร์แลนด์: กลับมาขยายตัว 852.7% หลังจากหดตัว -78.1% เดือนก่อน จากการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัวสูง 2,822%
- สหรัฐฯ: ขยายตัวดีต่อเนื่อง 22.4% (เดือนก่อน 17.5%) โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
- จีน: ชะลอตัวเล็กน้อยที่ 13.2% (เดือนก่อน 15.0%)
- ยุโรป: ขยายตัวชะลอลงเหลือ 13.2% (เดือนก่อน 21.7%)
- CLMV: ชะลอตัวลงมากเหลือ 5.2% (เดือนก่อน 20.7%)
สถานการณ์การนำเข้า มูลค่าการนำเข้าสินค้าไทยเดือนมกราคมอยู่ที่ 27,157.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวชะลอลงเหลือ 7.9% (เดือนก่อน 14.9%) แต่ยังขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยการนำเข้าอาวุธและยุทธปัจจัย (52.1%), สินค้าทุน (17.8%), และสินค้าอุปโภคบริโภค (9.0%) ขยายตัวดี ขณะที่สินค้าเชื้อเพลิงยังหดตัวเล็กน้อย -1%
ดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เดือนมกราคมขาดดุล -1,881.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*แนวโน้มการส่งออกปี 2568
SCB EIC ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกไทยในไตรมาสแรกจะขยายตัวดีต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนหลายประการ:
- อานิสงส์วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
- แนวโน้มการเร่งสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าก่อนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะมีผล
- ราคาสินค้าส่งออกกลุ่มน้ำมันและกลุ่มเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยฐานต่ำในเดือนมีนาคม 2567 ที่หดตัวสูง -10.5%
- การส่งออกทองคำในรูปแบบโลหะอื่นไปยังอินเดียก่อนที่จะมีการปรับปรุงเกณฑ์ช่องว่างการนำเข้าทองคำ
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันต่อการส่งออกไทยจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่เหลือของปีนี้ จาก:
1. แนวโน้มเศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลง จากผลนโยบายกีดกันการค้าที่จะเกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก
2. ความต้องการสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจชะลอตัว
3. ราคาน้ำมันและกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีแนวโน้มลดลง
4. ปัจจัยฐานสูงในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2567 ที่ขยายตัวมากถึง 7.5% และ 10.5% ตามลำดับ
นอกจากนี้ SCB EIC ประเมินว่า การส่งออกของไทยปีนี้มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน และอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ไตรมาส 2 เนื่องจากไทยเก็บอัตราภาษีนำเข้า Most Favored Nation (MFN) สูงกว่าสหรัฐฯ และค่าเฉลี่ยโลก
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินแนวโน้มการส่งออกไทยปี 2568 ที่ 2% (ข้อมูลระบบดุลการชำระเงิน) และอยู่ระหว่างการทบทวนและเผยแพร่มุมมองใหม่ในเดือนมีนาคมนี้
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scbeic.com/th/detail/product/trade-250225