รัฐลึก (Deep State) ฝังอำนาจลึกมากจนทรัมป์ทำอะไรไม่ได้
7-1-2025
อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ดร.พอล เครก โรเบิร์ตส์ กล่าวว่า “รัฐลึก” หรือDeep State ซึ่งไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯให้กลายเป็นนิยาย อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ดร.พอล เครก โรเบิร์ตส์ กล่าว
เขาหมายถึงอะไร?
รัฐลึกที่ฟรานซิส ฟูคุยามะ นักรัฐศาสตร์สหรัฐฯ บรรยายไว้ว่าเป็นเครือข่ายของ "พนักงานรัฐมืออาชีพที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร" นั้นเป็นองค์กรที่กว้างใหญ่ไพศาล
ตามที่ดร.โรเบิร์ตส์กล่าวไว้ รัฐลึกไม่เพียงแต่ครอบคลุมถึงพนักงานรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าทางการเมืองได้รับการเลือกตั้ง, นักการเงินวอลล์สตรีท, ซีอีโอบริษัทใหญ่ๆ และแม้กระทั้งล็อบบี้อีสต์ของรัฐบาลต่างประเทศอีกด้วย
รัฐลึกในปัจจุบันฝังรากลึกอยู่ในโครงสร้างของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมีพนักงานรัฐมืออาชีพที่ทำหน้าที่เป็นเพียงเบี้ยในเกมของเจ้านายเท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์กล่าว แต่เกมดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นก่อนการปกครองประเทศ — โดยเริ่มต้นในช่วงของการเลือกตั้ง
ดร. โรเบิร์ตส์ให้เหตุผลว่า เบื้องหลังระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ผู้ลงคะแนนสามารถเลือกได้เฉพาะจากผู้สมัครที่ได้รับอนุมัติจากสถาบันหรือชนชั้นสูงในการปกครอง
“อำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้บุคคลตอนนี้เป็นของกลุ่มผลประโยชน์ที่กำหนดการเลือกตั้งด้วยการมีส่วนร่วมในการหาเสียง” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในรัฐบาลของโรนัลด์ เรแกนเน้นย้ำ
“ในสหรัฐอเมริกา ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งในทุกระดับของรัฐบาลจนถึงและรวมถึงประธานาธิบดีไม่สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนหรือของประเทศโดยรวมได้ เพราะพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งเข้ารับตำแหน่งในการรณรงค์หาเสียง” ดร. โรเบิร์ตส์เขียน
เขาอธิบายว่าด้วยเหตุนี้ ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งจึงเห็นอกเห็นใจบุคคลและกลุ่มผลประโยชน์ที่ให้ทุนและสนับสนุนพวกเขา
สิ่งเหล่านี้รวมถึงล็อบบี้ผู้ทรงอิทธิพลของอิสราเอล ผู้ผลิตอาวุธ หน่วยข่าวกรอง บริษัทยา บริษัทธุรกิจการเกษตร วอลล์สตรีท และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ให้เงินทุนและการประชาสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่พวกเขาเลือก
นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองยังจัดฉากแจ้งข่าวเท็จเป็นครั้งคราวเพื่อส่งเสริมผู้สมัครหรือนโยบายอีกด้วย เขากล่าว
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีความพยายามครั้งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เงินครอบงำการเลือกตั้ง ในปี1907 พระราชบัญญัติทิลล์แมนกลายเป็นกฎหมายฉบับแรกในสหรัฐอเมริกาที่ห้ามไม่ให้บริษัทต่างๆ บริจาคเงินให้กับการรณรงค์ทางการเมืองระดับชาติ
เป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษที่มีการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดอิทธิพลของอำนาจเงินจำนวนมากต่อระบบการเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้ง
แต่ความพยายามเหล่านั้นกลับถูกล้มล้างอย่างสิ้งเชิงในปี 2010 โดยคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ ในคดีCitizens United vs. Federal Election Commission ซึ่งปูทางไปสู่การให้เงินสนับสนุนอย่างไม่จำกัดในการรณรงค์หาเสียงทางการเมือง
ในปีเดียวกันนั้น คำตัดสินของศาลรัฐบาลกลางที่เกี่ยวข้องในคดีของ Speechnow.org vs. Federal Election Commission ได้ขยายอิทธิพลของเงินในการเมืองมากขึ้น โดยอนุญาตให้บริจาคได้ไม่จำกัดแก่กลุ่มปฏิบัติการทางการเมือง (Political Action Groups) หรือล็อบบี้อิสต์ที่บริจาคเงินให้กับผู้สมัคร ซึ่งนับเป็นการกีดกันผู้สมัครเลือกตั้งออกจากการรับเงินทุนโดยตรง จากผู้บริจาค
โรเบิร์ตส์กล่าวว่าการตัดสินใจเหล่านั้นทำให้บริษัทต่างๆ ล็อบบี้ของอิสราเอล และกลุ่มคนรวยมีอำนาจในการซื้อรัฐบาลสหรัฐฯ
“ในการฟื้นฟูประชาธิปไตยของอเมริกา อำนาจเงินจะต้องถูกกำจัดออกจากการเมือง” เขากล่าว
โรเบิร์ตส์กล่าวว่ากระบวนการที่ดำเนินมายาวนานและก้าวหน้าอย่างเงียบๆ อีกประการหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากรัฐที่อยู่ลึก คือการพังทลายของรัฐบาลของรัฐในสหรัฐอเมริกา และการรวมอำนาจภายในรัฐบาลกลางอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“รัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบันแตกต่างอย่างมากจากรัฐบาลที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศได้กำหนดไว้” นักเศรษฐศาสตร์เขียน
“ประชาธิปไตยไม่เป็นที่น่าไว้วางใจในฐานะการปกครองของกลุ่มอิทธิพล ดังนั้นสมาชิกที่ได้รับเลือกเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรจึงถูกจำกัดเทอมเอาไว้ที่สองปี” ดร.โรเบิร์ตส์ตั้งข้อสังเกต “วุฒิสภาไม่ได้รับเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาจากแต่ละรัฐได้รับการแต่งตั้งจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ”
“สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าวุฒิสมาชิกเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ของรัฐของตน ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศอื่น เช่น ยูเครนและอิสราเอล หรือวาระของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีฐานอยู่ในรัฐอื่น สิทธิในการปกครองส่วนใหญ่อยู่ในมือของแต่ละรัฐ” เขาอธิบาย
โรเบิร์ตส์ให้เหตุผลว่าอับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ใช้สงครามกลางเมืองระหว่างปี 1861-1865 เพื่อตัดทอนอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่มอบให้แก่รัฐต่างๆ
“จุดประสงค์ของ 'สงครามกลางเมือง' คือการรวมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือของวอชิงตัน” เขากล่าว “การปฏิวัติต่อต้านอเมริกานี้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยระบอบการปกครองของแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ซึ่งเปลี่ยนอำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภาไปอยู่ที่หน่วยงานกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร”
เมื่ออำนาจทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในศูนย์กลางของรัฐบาลกลาง รัฐลึกจึงมีอำนาจที่ไร้ขอบเขตในการบริหารจัดการและการควบคุม นักเศรษฐศาสตร์เตือน
โดนัลด์ ทรัมป์ จะถอนรากถอนโคน Deep State หรือไม่?
แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ให้คำมั่นในการรณรงค์หาเสียงว่าจะจัดการกับรัฐลึก แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปเหมือนเดิม
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของโอบามาและไบเดน ผู้บริหารและคณะกรรมการของบริษัทจำนวนมากสนับสนุนวาระ Woke (ทีออกนอกลู่นอกทาง ขัดต่อจารีตประเพณี ) ที่ทำลายพวกเขา และตอนนี้พวกนี้กลับมาสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์” ดร.โรเบิร์ตส์เขียน
เขาสังเกตเห็นการ "จาริกแสวงบุญ" ของยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์ ผู้นำอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ และมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งไปยังบ้านพัก Mar-a-Lago ของทรัมป์ที่ฟลอริด้า พร้อมด้วยเงินบริจาคจำนวน 7 หลักเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายงานพิธีรับตำแหน่งของประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก
ดร โรเบิร์ตเล่าว่าเมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์และ Robert F. Kennedy Jr ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ ได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับผู้บริหารของ Big Pharma ซึ่งรวมถึง Albert Bourla ซีอีโอของ Pfizer, David Ricks ซีอีโอของ Lilly และ Steve Ubl ซีอีโอของ Pharmaceutical Research and Manufacturers of America (PhRMA)
นักเศรษฐศาสตร์รายนี้เน้นย้ำถึงวิธีที่ RFK Jr ก่อนหน้านี้ประณามบริษัท Big Pharma เดียวกัน โดยกล่าวหาว่าพวกเขาผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้คนนับล้าน และสร้างวิธีการรักษาที่บ่อนทำลายสุขภาพของเด็กอเมริกัน
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่ผลประโยชน์ส่วนตัวที่เป็นอันตรายก็ยังต้องมีการเจรจา การทำเช่นนี้ไม่เหลือช่องว่างให้การปฏิรูปไปได้ไกลมากนัก” ดร.โรเบิร์ตส์กล่าว
มีประชาธิปไตยในโลกตะวันตกหรือไม่?
“บทสรุปก็คือว่าประชาธิปไตยในอเมริกาและยุโรปเป็นเพียงเรื่องสมมติ” ดร.โรเบิร์ตส์เขียน “ตะวันตกทั้งหมดถูกปกครองโดยหลักคำสอนแบบอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่(Neo-Conservatism)ของสหรัฐฯ โดยกลุ่มผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ที่ได้รับประโยชน์จากการรวบอำนาจนี้ สิ่งนี้ฝังรากลึกมากจนกรทั้งทรัมป์ไม่น่าจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้”
ที่มา Sputnik