สงครามอวกาศเดือด! 'สหรัฐ-จีน-รัสเซีย' แข่งพัฒนาดาวเทียม ยานรบและนักฆ่าสังหาร
14-12-2024
การแข่งขันเพื่อชิงความเป็นเจ้าอวกาศกำลังทวีความเข้มข้น เมื่อสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ต่างเร่งพัฒนาขีดความสามารถทางทหารในอวกาศ โดยเฉพาะการพัฒนาดาวเทียมที่มีความสามารถในการล่าและทำลายล้าง รวมถึงการต่อสู้ในอวกาศที่กำลังจะกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้
Asia Time รายงานว่า นิตยสาร Air & Space Forces รายงานในเดือนธันวาคมว่า การเคลื่อนไหวอย่างก้าวร้าวของดาวเทียมจีนในวงโคจรค้างฟ้า ผลักดันให้ผู้นำกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถในการเคลื่อนที่ของดาวเทียม โดยตั้งแต่ปี 2010 จีนได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศแล้วเกือบ 1,000 ดวง พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีที่มีอัตราการเคลื่อนที่สูง เทคนิคการรบในวงโคจร และกลยุทธ์การหลบหลีก
พลเอกสตีเฟน ไวติง ผู้บัญชาการกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาความสามารถในการเคลื่อนที่ในอวกาศอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่าจีนใช้วงโคจรแบบใหม่และมีระบบเติมเชื้อเพลิงในอวกาศ ขณะที่พลจัตวาแอนโธนี มัสตาลิร์ เตือนว่าสหรัฐฯ ต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และพลโทดักลาส เชส ระบุว่าอาจเกิดการ "ต่อสู้ในอวกาศ" เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความสามารถในการเคลื่อนที่สูง
ล่าสุด กองทัพอวกาศสหรัฐฯ ได้ทุ่มงบ 34.5 ล้านดอลลาร์ ว่าจ้างบริษัทสตาร์ทอัพ Impulse Space ในแคลิฟอร์เนีย พัฒนายานเคลื่อนที่ในวงโคจร (OMV) สองลำ สำหรับภารกิจ Victus Surgo และ Victus Salo เพื่อทดสอบการรับมือภัยคุกคามในอวกาศอย่างรวดเร็ว โดยตั้งเป้าจะมีขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางยุทธวิธีภายในปี 2026
ขณะเดียวกัน สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงด้านการป้องกันประเทศ (DARPA) ของสหรัฐฯ ได้ว่าจ้าง General Atomics, Lockheed Martin และ Blue Origin พัฒนาระบบขับเคลื่อนนิวเคลียร์สำหรับปฏิบัติการในวงโคจรต่ำ ซึ่งจะมีความทนทานมากกว่า บรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงกว่าระบบเดิมถึงสองเท่า
ด้านรัสเซียก็ถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่าส่งดาวเทียม Cosmos 2576 ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นอาวุธต่อต้านอวกาศ ขึ้นสู่วงโคจรเดียวกับดาวเทียมสอดแนม USA 314 ของสหรัฐฯ โดยอยู่ห่างกันเพียง 48 กิโลเมตร ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจใช้เพื่อตรวจสอบ เคลื่อนย้าย หรือสร้างความเสียหายต่อดาวเทียมสหรัฐฯ แม้รัสเซียจะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม 2022 รัสเซียเคยส่งดาวเทียม Kosmos-2558 ที่ถูกสงสัยว่าเป็น "ดาวเทียมสอดแนม" ที่มีความสามารถในการล่าและทำลาย เข้าใกล้ดาวเทียม USA-326 ของสหรัฐฯ ในระยะเพียง 75 กิโลเมตร ซึ่งดาวเทียมดังกล่าวบรรทุกอุปกรณ์ลับสำหรับภารกิจข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวน สร้างความกังวลให้สำนักงานสำรวจแห่งชาติสหรัฐฯ (NRO) อย่างมาก โดยรัสเซียมีประวัติการส่งดาวเทียมที่มีความสามารถคล้ายกันขึ้นสู่อวกาศมาตั้งแต่ปี 2013 อาทิ Kosmos-2491, Kosmos-2499 และ Kosmos-2504
ชาร์ลส์ กัลเบรท ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันมิตเชลล์เพื่อการศึกษาด้านอวกาศ เสนอว่ากองทัพอวกาศสหรัฐฯ ควรพิจารณาแผนติดตั้งดาวเทียม "ฮันเตอร์-คิลเลอร์" หรือดาวเทียมนักล่า โดยใช้ประโยชน์จากดาวเทียมขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นและราคาไม่แพง ดาวเทียมเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นอาวุธร่วมวงโคจรที่สามารถทำลายดาวเทียมฝ่ายตรงข้ามได้หลากหลายวิธี ทั้งการโจมตีด้วยจลนศาสตร์ สงครามอิเล็กทรอนิกส์ การยิงเลเซอร์ การปลอมแปลงสัญญาณ และการรบกวนคลื่น
นอกจากนี้ ดาวเทียมดังกล่าวยังสามารถทำหน้าที่เป็น "บอดี้การ์ด" คุ้มครองดาวเทียมสำคัญ เช่น ดาวเทียมเตือนภัยขีปนาวุธ คล้ายกับเครื่องบินขับไล่ที่คอยคุ้มกันอากาศยานอื่น การใช้ดาวเทียมขนาดเล็กยังมีข้อดีคือพัฒนาได้รวดเร็ว ส่งขึ้นอวกาศได้จำนวนมาก ทำให้สหรัฐฯ สามารถรับมือกับขีดความสามารถด้านสงครามอวกาศของจีนและรัสเซียที่เพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม กฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการโจมตีดาวเทียมยังไม่ชัดเจน ไมเคิล ไบเยอร์ส และแอรอน โบเลย์ ระบุในหนังสือ "Who Owns Outer Space?" ที่ตีพิมพ์ปี 2023 ว่า ยังมีการถกเถียงทางกฎหมายว่าการโจมตีดาวเทียมถือเป็นการก่อสงครามหรือไม่ โดยฝ่ายสนับสนุนมองว่าเข้าข่ายการใช้กำลังทหารตามมาตรา 2(4) ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะหากสร้างความเสียหายรุนแรงต่อทรัพย์สินของรัฐหรือระบบบริการสำคัญ
ในขณะที่ฝ่ายค้านเห็นว่าการโจมตีดาวเทียมบางรูปแบบ เช่น การรบกวนสัญญาณหรือการแฮ็ก ไม่ถึงขั้นเป็น "การโจมตีด้วยอาวุธ" อีกทั้งดาวเทียมส่วนใหญ่มีการใช้งานทั้งด้านพลเรือนและทหาร ทำให้ยากต่อการระบุเจตนาและจัดประเภทว่าการกระทำใดถือเป็นการก่อสงคราม ซึ่งประเด็นทางกฎหมายเหล่านี้จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น เมื่อเทคโนโลยีดาวเทียมทางทหารมีความก้าวหน้าและแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต
---
IMCT NEWS -- Image: X Screengrab
ที่มา https://asiatimes.com/2024/12/us-china-russia-gearing-up-for-space-wars-to-come/