อนาคตทองคำ!คาดราคาพุ่ง 20,000-200,000 ดอลลาร์ ใน 5 กลุ่ม BRICS แห่ซื้อ-ธนาคารตะวันตกเสี่ยงล่มจำนองซ้ำ -สต็อกจำกัด 2 แสนตัน
1-12-2024
จุดเปลี่ยนตลาดทองโลก! มูลค่าต่ำกว่าจริงที่ 17 ล้านล้านดอลลาร์ คาดราคาพุ่ง 20,000-200,000 ดอลลาร์ใน 5 ปี ท่ามกลางวิกฤตเงินเฟ้อ-ภูมิรัฐศาสตร์
Egon von Greyerz ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท VON GREYERZ วิเคราะห์ว่า ตลาดทองคำโลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หลังราคาพุ่งขึ้น 78 เท่านับตั้งแต่ประธานาธิบดีนิกสันประกาศยกเลิกการผูกติดดอลลาร์กับทองคำในปี 1971 จากราคา 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาอยู่ที่ 2,700 ดอลลาร์ในปัจจุบัน โดยนักวิเคราะห์คาดว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นอีกหลายเท่าในอนาคต อาจแตะระดับ 20,000-200,000 ดอลลาร์ในช่วงปี 2025-2030
ข้อมูลล่าสุดระบุว่าสต็อกทองคำโลกมีทั้งสิ้น 201,000 ตัน มูลค่ารวม 17 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 0.6% ของความมั่งคั่งโลก แบ่งเป็นทองคำเครื่องประดับ 93,000 ตัน มูลค่า 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ การลงทุนภาคเอกชน 43,000 ตัน มูลค่า 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ทองคำในครอบครองของธนาคารกลาง 37,000 ตัน มูลค่า 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 18.5% ของทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นทองคำใต้ดินและอื่นๆ อีก 28,000 ตัน
ที่น่าสนใจคือมูลค่าทองคำที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองเทียบเท่ากับมูลค่าตลาดของบริษัท Microsoft เพียงบริษัทเดียว สะท้อนว่าทองคำถูกประเมินมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ขณะที่ 10 บริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดรวม 19.2 ล้านล้านดอลลาร์ นำโดย NVIDIA และ Apple ที่มูลค่าบริษัทละ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
ทองคำแสดงให้เห็นศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด โดยในช่วงปี 2001-2011 ราคาเพิ่มขึ้น 8 เท่าโดยไม่มีปีใดติดลบ ก่อนจะมีการปรับฐานในช่วงปี 2011-2016 จากระดับ 1,920 ลงมาที่ 1,046 ดอลลาร์ และกลับมาปรับตัวขึ้นอีก 9 ปีติดต่อกันนับจากปี 2016 แม้จะมีช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวทางข้าง 3 ปี ส่งผลให้ในรอบ 24 ปีที่ผ่านมา ทองคำให้ผลตอบแทนสูงถึง 990% เทียบกับดัชนี S&P 500 รวมเงินปันผลที่ให้ผลตอบแทน 572% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเพียง 0.5% ของสินทรัพย์ทางการเงินโลกที่ลงทุนในทองคำ เพิ่มขึ้นจาก 0.2% ในปี 2001
นักวิเคราะห์ระบุว่าธนาคารกลางตะวันตกกำลังเผชิญความเสี่ยงรุนแรง หลังจำนองและให้เช่าทองคำซ้ำหลายครั้งผ่านธนาคารทองคำแท่ง โดยคาดว่าทองคำเหล่านี้จะไม่มีวันได้กลับคืนมา สถานการณ์นี้แตกต่างจากช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2000 ที่ธนาคารกลางตะวันตกทยอยขายทองคำออก โดยอังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดาขายทองคำออกครึ่งหนึ่ง ส่วนนอร์เวย์ขายหมด แต่ในปี 2022 กลับพบว่าธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสูงถึง 1,136 ตัน นำโดยรัสเซีย จีน อินเดีย และตุรกี
ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนเงินสำรองจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงถึง 99% นับตั้งแต่ปี 1971 เป็นทองคำ จะส่งผลให้ความต้องการทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอีกหลายปีข้างหน้า แต่การผลิตทองคำจากเหมืองที่มีเพียงปีละ 3,000 ตันไม่สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้
ตลาดทองคำยังได้รับแรงหนุนจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจากการที่รัฐบาลทั่วโลกเร่งพิมพ์เงินและก่อหนี้เพิ่ม โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า "หนี้รัฐบาลที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาจะไม่มีวันได้รับการชำระคืน แต่จะถูกทำให้เฟ้อด้วยการพิมพ์เงินกระดาษและหนี้ไร้ค่าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสกุลเงินกระดาษทั้งหมดไร้ค่าลง ซึ่งเป็นการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐโดยพฤตินัย"
สำหรับนักลงทุนสหรัฐฯ นักวิเคราะห์แนะนำให้เร่งกระจายสินทรัพย์ออกนอกประเทศ และหลีกเลี่ยงการถือครองทองคำผ่านบริษัทสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลอาจออกคำสั่งให้ส่งคืนทองคำจากห้องนิรภัยต่างประเทศได้ โดยแนะนำให้เก็บทองคำในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเงินและระบบธนาคารที่น่าเชื่อถืออย่างสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์
Bill Bonner นักวิเคราะห์ชื่อดังได้แสดงความเห็นว่า "ไม่ช้าก็เร็ว กระแสสินเชื่อที่ร้อนแรงจะเข้าปะทะกับความเป็นจริงของอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น ตลาดหุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์จะถูกฝังเหมือนเมืองปอมเปอี"
นอกจากนี้ สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ทั้งวิกฤตตะวันออกกลางและยูเครน ยังเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม โดยมีความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจพยายามยั่วยุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ผ่านการส่งขีปนาวุธให้ยูเครนในช่วง 8 สัปดาห์ก่อนการเปลี่ยนผ่านอำนาจในเดือนมกราคม 2025 ขณะที่ความเหนือกว่าของขีปนาวุธ Oreshnik ของรัสเซียที่เพิ่งถูกใช้งาน อาจทำให้กองทัพสหรัฐฯ และโลกตระหนักว่านี่เป็นความขัดแย้งที่สหรัฐฯ นาโต้ และโลกไม่อาจชนะได้"
-Egon von Greyerz ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท VON GREYERZ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการจัดการทรัพย์สินที่เน้นการรักษามูลค่าความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในทองคำและเงิน-
---
ที่มา https://vongreyerz.gold/the-case-for-gold-is-incontrovertible