เมื่อวอชิงตันโดดเดี่ยวตัวเอง จีนขยายอิทธิพลฯ
เมื่อวอชิงตันโดดเดี่ยวตัวเอง นักวิเคราะห์ชี้จีนได้ช่องขยายอิทธิพลในเอเชียและยุโรป หลังสหรัฐฯ ถอยร่นจากบทบาทค้ำยันระเบียบโลก
20-12-2025
SCMP รายงานเชิงวิเคราะห์ว่า ปี 2025 กลายเป็นปีที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ–จีนตึงเครียดและผันผวนอย่างหนัก ขณะที่นโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เริ่มเปลี่ยนรูปสถาปัตยกรรมความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่สืบทอดมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักวิเคราะห์และอดีตเจ้าหน้าที่หลายรายประเมินว่าการรื้อโครงสร้างเดิมนี้ไม่เพียงสั่นคลอนเสถียรภาพโลกและทดสอบความอดทนของพันธมิตรเก่าแก่ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้จีน (China) เป็นผู้ได้ประโยชน์สำคัญในเชิงยุทธศาสตร์
แม้ทรัมป์จะถูกมองว่าใช้ “ค้อนปอนด์” ทุบระเบียบโลกเดิมอย่างไม่ปรานี แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็สะท้อนความจริงที่ไม่ค่อยถูกพูดตรง ๆ ว่า พันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ไม่ได้ “แบ่งเบาภาระ” ด้านความมั่นคงเท่าที่วอชิงตันคาดหวัง และสหรัฐฯ เองก็ไม่อาจรับบท “ผู้ค้ำยันโลก” เพียงลำพังได้อีกต่อไป ซัค คูเปอร์ (Zack Cooper) นักวิจัยอาวุโสจาก American Enterprise Institute มองว่า การผลักพันธมิตรให้เพิ่มงบกลาโหมอาจเป็นเรื่องดีในทางตัวเลข แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือ “ความเชื่อมั่นว่าผูกเรือกับสหรัฐฯ แล้วปลอดภัย” ที่ค่อย ๆ ลดลง และทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงโดดเดี่ยวมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าในปีถัดไป ทรัมป์จะหันมาใช้เวลาและพลังกับนโยบายต่างประเทศมากขึ้น แม้จะทำให้ฐานเสียง “America First” สายสันโดษบางส่วนไม่พอใจ แต่ในสนามภายนอกประเทศ เขาเผชิญแรงต้านทางการเมืองและกฎหมายภายในน้อยกว่า และสามารถผลักดัน “วิสัยทัศน์เชิงอำนาจ” ของตนได้ตรงไปตรงมามากกว่า มิเรยา โซลิส (Mireya Solis) ผู้อำนวยการด้านนโยบายเอเชียของ Brookings Institution สรุปปีแรกของรัฐบาลชุดนี้ว่าเป็น “ปีแห่งรถไฟเหาะของนโยบายต่างประเทศ”
ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังรับตำแหน่ง ทรัมป์เริ่มรีเซ็ตระบบความมั่นคงที่ตั้งอยู่บนพันธมิตรและกติกาพหุภาคีมาหลายทศวรรษ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าในวงกว้างโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ใช้แรงกดดันให้พันธมิตรจ่ายค่าป้องกันตนเองมากขึ้น แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อรัสเซีย (Russia) ดูแคลน NATO วิจารณ์ยุโรปอย่างรุนแรง และทำให้บรรดาผู้นำต่างประเทศเผชิญความอับอายในทำเนียบขาว ซูราบห์ กุปตา (Sourabh Gupta) จาก Institute for China-America Studies บรรยายว่า ทรัมป์ “ลงโทษแบบไม่เลือกข้าง” ทั้งในมิติการค้าและความมั่นคง
ภาพรวมดังกล่าวถูกทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อรัฐบาลเผยแพร่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเอกสารเชิงยุทธศาสตร์ที่กฎหมายสหรัฐฯ บังคับให้รัฐบาลทุกชุดต้องจัดทำเป็นระยะ รายงานฉบับนี้ส่งแรงสะเทือนไปยังเมืองหลวงหลายประเทศ เพราะสะท้อนรัฐบาลที่พร้อมลดน้ำหนักต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และความเสี่ยงด้านความมั่นคงบางด้าน เพื่อหันไปให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้าแบบจำกัดกรอบของสหรัฐฯ เองมากขึ้น
ยุทธศาสตร์ใหม่เสนอภาพโลกแบบ “แบ่งเขตอิทธิพล” โดยระบุให้ลาตินอเมริกาเป็นความกังวลด้านความมั่นคงอันดับต้น ๆ ของวอชิงตัน พร้อมส่งสัญญาณเตือนจีนไม่ให้แทรกซึมอิทธิพล “เชิงเป็นปฏิปักษ์” ในซีกโลกตะวันตก ขณะที่พื้นที่ความขัดแย้งอื่น เช่น เมียนมา (Myanmar) และอัฟกานิสถาน (Afghanistan) ถูกละไว้ไม่กล่าวถึงอย่างสิ้นเชิง แม้แต่เกาหลีเหนือ (North Korea) ก็ไม่ถูกเอ่ยชื่อ และอิหร่าน (Iran) ถูกกล่าวถึงในฐานะปัญหาที่ “แก้ไปแล้ว” มากกว่าจะเป็นโจทย์ระยะยาว
แมทธิว โครเนนิก (Matthew Kroenig) จาก Atlantic Council ชี้ว่า รายงานฉบับนี้ทำให้ความเสี่ยงจากรัสเซียถูกลดทอนให้เหลือเพียง “ความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับยุโรปที่สหรัฐฯ ต้องเข้าไปประสาน” ขณะที่จีนก็ไม่ได้ถูกระบุให้เป็น “ภัยคุกคามรอบด้าน” แบบตรงไปตรงมา แม้ตัวเอกสารจะเน้นอย่างหนักเรื่องการแข่งขันด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การครองความเหนือกว่าทางทหาร ระบบป้องกันขีปนาวุธ และการยับยั้งนิวเคลียร์ ซึ่งโดยเนื้อแท้คือสนามแข่งขันเดียวกับจีน
เมื่อกล่าวถึงจีนโดยตรง รายงานเลี่ยงประเด็นอ่อนไหวอย่างความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ (Chinese Communist Party) ความรับผิดชอบต่อการระบาดของโควิด-19 หรือสิทธิมนุษยชน และหันไปเน้นวิจารณ์นโยบายด้านกำลังการผลิตส่วนเกิน การเลี่ยงภาษีผ่านการส่งออกแบบเปลี่ยนปลายทาง (transshipment) และการเปิดตลาดแทน นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การลดน้ำหนักการปะทะเชิงสัญลักษณ์นี้มีเบื้องหลังจากการคำนวณของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) ที่ต้องการลดแรงเสียดทานก่อนการประชุมสุดยอดที่ปูซาน (Busan) ระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ในเดือนตุลาคม
เจเรมี ชาน (Jeremy Chan) จาก Eurasia Group ระบุว่า จีน “น่าจะโล่งใจ” เมื่อเห็นถ้อยคำในยุทธศาสตร์ฉบับนี้ และหากมองจากมุมปักกิ่ง ก็มีเหตุผลที่จะคาดหวังว่าความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ จะยังคงเดินหน้าต่อได้ในปีถัดไป
ขณะที่พันธมิตรยุโรปกลับถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องนโยบายผู้อพยพ จนถึงขั้นเตือนเรื่อง “การลบหายของอารยธรรม” ซึ่งสะท้อนถ้อยคำแบบเดียวกับที่รองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) ใช้ในการประชุมความมั่นคงมิวนิกเมื่อต้นปี ตรงกันข้าม อินโด–แปซิฟิกกลับมีภาพไม่เลวร้ายเท่าที่กังวล วอชิงตันยืนยันความผูกพันต่อไต้หวัน (Taiwan) เน้นย้ำความสำคัญของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และลดทอนน้ำหนักการปะทะเชิงทหารกับปักกิ่งในถ้อยคำทางการ
ยุทธศาสตร์ฉบับนี้ยังส่งสัญญาณไปข้างหน้าว่า ความสัมพันธ์ป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ กับประเทศกว่า 50 แห่ง รวมถึงพันธมิตรกึ่งอย่างไม่เป็นทางการ อาจถูกลดความสำคัญลง โดยใช้เกณฑ์ใหม่คือ “ความสามารถของแต่ละประเทศหรือภูมิภาคในการช่วยเหลือสหรัฐฯ ในประเด็นเฉพาะ” มากกว่าสายสัมพันธ์เชิงคุณค่าหรือยุทธศาสตร์ในภาพรวม พันธมิตรจึงถูกวางกรอบเป็น “ภาระต้นทุน” มากกว่า “จุดแข็งเชิงภูมิรัฐศาสตร์” แบบในอดีต
ศูนย์วิจัย CSIS วิเคราะห์ไว้ในรายงานเดือนตุลาคมว่า “สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่จัดการร่วมงานได้ยาก แม้ในเวลาที่หวังดี” ขณะที่หลายฝ่ายมองว่านโยบายประชานิยม–ธุรกรรมของทรัมป์เร่งการเปลี่ยนผ่านเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ปกติต้องใช้เวลานาน เมื่อสหรัฐฯ ต้องเผชิญข้อเท็จจริงว่ากำลังทางเศรษฐกิจสัมพัทธ์ลดลงต่อหน้าการเติบโตของจีน
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า สัดส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจโลกหดจาก 32% ในปี 2001 (ปีที่จีนเข้าร่วม WTO) เหลือราว 26% เมื่อปีที่แล้ว ขณะที่สัดส่วนของจีนเพิ่มจาก 3% เป็นประมาณ 19% ในเชิงมูลค่านอมินัล และหากคำนวณตามกำลังซื้อ (PPP) ช่องว่างยิ่งแคบลง ภายใต้บริบทนี้ ทรัมป์สามารถกดดันให้ชาติสมาชิก NATO ยอมรับเป้าหมายเพิ่มงบกลาโหมเป็น 5% ของ GDP ภายในปี 2035 ซึ่งมากกว่าระดับปัจจุบันกว่าเท่าตัว และเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนไม่เคยทำสำเร็จในทางปฏิบัติ
ในภาพรวม รายงานความมั่นคงชุดใหม่ระบุว่า “ยุคที่สหรัฐฯ แบกรับระเบียบโลกทั้งใบไว้บนบ่าดั่งเทพแอตลาสกำลังสิ้นสุดลง” และระบุชัดว่า พันธมิตรและหุ้นส่วน “ต้องรับผิดชอบหลักต่อภูมิภาคของตนเอง และต้องมีส่วนร่วมด้านการป้องกันร่วมมากกว่าที่เคย” นักวิเคราะห์บางส่วน เห็นด้วยกับความชัดเจนด้านเป้า แม้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ โดยชี้ว่าเอกสารฉบับนี้อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงการเป็น “บัญชีรายการปัญหารอบโลก” ที่กระจัดกระจายแบบยุทธศาสตร์ในอดีต
โซลิสและกุปตามองตรงกันว่า แม้รัฐบาลทรัมป์จะมองความท้าทายได้ถูกจุดหลายเรื่อง แต่ความสามารถในการออกแบบ “ทางออกที่มีความคิด” ยังเป็นคำถามใหญ่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เผชิญปรากฏการณ์ปลดและลาออกจำนวนมาก มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) ถูกดึงมาควบกำกับทั้ง NSC และกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่สไตล์บริหารแบบ “เปลี่ยนท่าทีได้ในพริบตาผ่านโซเชียลมีเดีย” ของทรัมป์ทำให้การดำเนินยุทธศาสตร์ต่อเนื่องเป็นเรื่องเปราะบาง
แม้หลายฝ่ายมองว่านโยบายของทรัมป์มีลักษณะ “หุนหัน–สั่นคลอน” แต่ก็มีผลพวงบางด้านที่ถูกมองว่าเป็น “ผลดีโดยไม่ตั้งใจ” เช่น ประเทศส่วนใหญ่ไม่ตอบโต้คำขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์ด้วยการปะทะตอบแบบสงครามการค้ารอบใหญ่ ขณะที่พันธมิตรหลายประเทศ โดยเฉพาะในอินโด–แปซิฟิก ก็เรียนรู้ที่จะรับมือกับทรัมป์ด้วยการใช้ส่วนผสมระหว่างข้อเสนอ “วิน–วิน” การให้คำยกยอ ของขวัญ ข้อตกลงแร่สำคัญ และคำมั่นการลงทุน เพื่อรักษาเป้าหมายของตนเอง
เจเรมี ชาน ให้ภาพว่า “ไม่ว่าจะเป็นลูกกอล์ฟทองคำ หรือคำสัญญาการลงทุนมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์ เรารู้ว่าเราต้องก้มศีรษะให้ทรัมป์ เอาใจเขา แต่ท้ายที่สุดเราก็จะได้สิ่งที่เราต้องการบางส่วนกลับมา”
ในมิติทรัพยากรและเทคโนโลยี ทรัมป์ใช้สไตล์เจรจาแข็งกร้าวเปิดโปงความพึ่งพิงจีนในแร่หายาก (rare earths) ซึ่งทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องทำงานร่วมกับประเทศอื่นอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเพื่อสร้างโซลูชันด้านความมั่นคงทรัพยากร โซลิสชี้ว่ากระบวนการเรียนรู้นี้ “เป็นด้านบวก” เพราะบังคับให้สหรัฐฯ ต้องทำงานเป็นทีมมากกว่าที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเชิงพาณิชย์บางอย่าง เช่น การยอมขายเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานทางทหารให้จีน เพื่อเพิ่มการพึ่งพิงเทคโนโลยีอเมริกันโดยตรง พร้อมกับเก็บส่วนแบ่งกำไร กลับถูกวิจารณ์หนัก เพราะขัดกับเหตุผลที่วอชิงตันใช้กดดันพันธมิตรให้จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีอ่อนไหวของตนเองไปยังจีน โซลิสเตือนว่าการทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน “ทำให้ยากต่อการสร้างแนวร่วมที่สอดคล้อง”
ในภาพรวม นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยเห็นว่าผู้ได้ประโยชน์รายใหญ่จากความปั่นป่วนที่วอชิงตันสร้างขึ้นคือจีน แม้ปักกิ่งจะไม่ได้รีบเข้ามาแทนที่บทบาทสหรัฐฯ แบบตรงตัว แต่การที่ภาพลักษณ์สหรัฐฯ เสื่อมลง ขณะที่จีนวางตัว “สุขุมกว่า” ในหลายเวที ทำให้ปักกิ่งมีพื้นที่ขยายอิทธิพลในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และยุโรปมากขึ้น
ผลสำรวจของ Pew Research ล่าสุดชี้ว่า ทัศนคติเชิงบวกต่อสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากในแทบทุกประเทศพันธมิตร นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ภาพลักษณ์ของจีนกลับปรับดีขึ้นในหลายพื้นที่ ศูนย์วิจัยสายเสรีนิยมอย่าง Centre for American Progress สรุปว่านโยบายความมั่นคงของทรัมป์ “บ่อนทำลายแหล่งพลังอำนาจแท้จริงของสหรัฐฯ เอง ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และ soft power และส่งผลประโยชน์โดยตรงต่อจีน”
รายงานของศูนย์เดียวกันระบุว่า แนวทางดังกล่าวแทนที่ความร่วมมือด้านความมั่นคงที่สั่งสมมาหลายทศวรรษด้วย “ความไม่แน่นอนและความไม่ไว้วางใจลึก” และใช้แทบทุกอย่างตั้งแต่ความมั่นคง เทคโนโลยี ไปจนถึงชื่อเสียงของสหรัฐฯ เองเป็น “ชิปต่อรอง” ในการต่อสู้ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้จีนใช้ leverage ผลักดันให้ทรัมป์ขยับในทิศทางที่ปักกิ่งต้องการมากขึ้น
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คนอื่นเตือนว่าการมองความสัมพันธ์สหรัฐฯ–จีนแบบผลรวมศูนย์ก็เสี่ยงมองข้ามความซับซ้อน ยุน ซุน (Yun Sun) ผู้อำนวยการโครงการจีนที่ Stimson Centre ระบุว่า จีนเองก็ยังสะดุดในความพยายามดึงพันธมิตรของสหรัฐฯ ให้ใกล้ชิดกับตนมากขึ้น โดยยกตัวอย่างการข่มขู่ญี่ปุ่นในประเด็นไต้หวัน และการปะทะเชิงการทูตกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ระหว่างการเยือนปักกิ่งล่าสุด
เธอมองว่า แม้สหรัฐฯ จะ “เสื่อมราคา” ในสายตาบางประเทศ แต่จีนก็ไม่ได้ “เพิ่มค่าตัว” ในฐานะทางเลือกที่น่าเชื่อถือกว่าอย่างที่หลายคนคาด หัวใจของข้อโต้แย้งของเธอคือ “สหรัฐฯ อาจอ่อนค่าลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจีนจะขึ้นมาแทนที่ได้โดยอัตโนมัติ” ซึ่งสะท้อนภาพโลกใหม่ที่ไม่มีฝ่ายใดผูกขาดความชอบธรรมและความเชื่อมั่นในระดับเดิมอีกต่อไป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/us/diplomacy/article/3336954/trump-upends-us-foreign-policy-analysts-see-fresh-openings-china?module=top_story&pgtype=section