ชิลี 'ดันประเทศเป็นสมรภูมิใหม่ จีน–สหรัฐฯ'
ชิลีเลี้ยวขวาการเมือง 'ดันประเทศเป็นสมรภูมิใหม่ จีน–สหรัฐฯ' จุดยุทธศาสตร์ทองแดง–ลิเทียม
17-12-2025
SCMP รายงานว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโฆเซ อันโตนิโอ คาสต์ (Jose Antonio Kast) ในชิลี ถูกมองว่าเป็นการปรับเลี้ยวทางการเมืองไปทางขวาครั้งสำคัญที่อาจยกระดับบทบาทของประเทศในสมรภูมิแย่งชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ และจีนในลาตินอเมริกา ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่าสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนมีแนวโน้มทรงตัวมากกว่าหักเหอย่างฉับพลัน
ชัยชนะของคาสต์ยังสอดรับกับแนวโน้มกว้างในภูมิภาคที่ผู้นำสายขวาฟื้นตัวในหลายประเทศ ตั้งแต่เอกวาดอร์ เอลซัลวาดอร์ อาร์เจนตินา ไปจนถึงโบลิเวียที่เพิ่งเลือกตั้งเมื่อเดือนตุลาคม ท่ามกลางบริบทที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศในยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับใหม่ว่าจะ “ฟื้นคืนความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ” ในซีกโลกตะวันตก
ประธานาธิบดีฮาเวียร์ ไมเลย์ (Javier Milei) ผู้นำสายเสรีนิยมสุดขั้วของอาร์เจนตินาที่มีจุดยืนสอดคล้องกับทรัมป์อย่างใกล้ชิด เป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่แสดงความยินดีกับคาสต์ ส่วนวอชิงตันก็รีบออกแถลงการณ์สนับสนุน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) ระบุในแถลงการณ์ว่า ภายใต้การนำของคาสต์ สหรัฐฯ มั่นใจว่าชิลีจะเดินหน้าความร่วมมือในเป้าหมายร่วมด้านการเสริมสร้างความปลอดภัยสาธารณะ การยุติการอพยพผิดกฎหมาย และการฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
อย่างไรก็ดี เจียง ซือว์เสวี่ย (Jiang Shixue) ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาลาตินอเมริกาแห่งมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มองว่าการเลี้ยวขวาของชิลีครั้งนี้ไม่น่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในนโยบายต่างประเทศ เขาชี้ว่าประเทศมีประวัติศาสตร์ยาวนานในการสลับเปลี่ยนรัฐบาลซ้าย–ขวา โดยที่กรอบความร่วมมือภายนอกไม่ได้พลิกผันรุนแรง พร้อมระบุว่า โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลฝั่งขวามักโน้มเอียงสหรัฐฯ มากกว่า แต่รัฐบาลใหม่ของชิลีไม่ได้เป็น “ขวาจัดสุดขั้ว” และไม่คาดว่าจะหันเหเชิงยุทธศาสตร์อย่างฉับพลัน
ชิลีเป็นคู่ค้าอันดับสามของจีนในลาตินอเมริกา และดึงดูดเงินลงทุนจีนจำนวนมากในภาคเหมืองแร่ พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่าการค้าทวิภาคีแตะราว 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ประเทศยังเข้าร่วม Belt and Road Initiative แผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างเครือข่ายการค้าของจีนมาตั้งแต่ปี 2018
ด้วยสถานะที่เป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ผลิตลิเทียมรายใหญ่อันดับสองรองจากออสเตรเลีย ชิลีจึงอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก จีนซึ่งครองสัดส่วนราว 60% ของกำลังการกลั่นลิเทียมโลก และเป็นผู้นำด้านการผลิตแบตเตอรี่ ได้ทุ่มลงทุนในสินทรัพย์เหมืองต้นน้ำใน “สามเหลี่ยมลิเทียม” ของชิลี อาร์เจนตินา และโบลิเวียมาอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
ในช่วงหาเสียง คาสต์หาเสียงด้วยนโยบายลดรายจ่ายภาครัฐอย่างเข้มข้น และเปิดทางให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในภาคเหมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต ทำให้เกิดความคาดหวังว่าชิลีอาจคลายกฎระเบียบและเดินหน้ามาตรการที่เป็นมิตรกับตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ดี เจียงเตือนว่าทิศทางนโยบายเหมืองแร่ภายใต้รัฐบาลใหม่ยังไม่ชัดเจน และอาจต้องจับตาการออกกฎหมายลูกและกฎเกณฑ์ปฏิบัติในระยะถัดไป
เขาประเมินว่าสัมพันธ์กับจีนมีความเป็นไปได้สูงที่จะทรงตัว ไม่ว่าการเมืองภายในจะเอนซ้ายหรือขวา โดยอ้างถึงประวัติความร่วมมือยาวนานและแรงกดดันด้านเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทำให้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งกู้ความเชื่อมั่นและอัตราการเติบโตในหนึ่งในประเทศที่มีความมั่งคั่งและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในลาตินอเมริกา
เจียงชี้ว่า “การแยกขาดจากจีนโดยรวมไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง” พร้อมเสริมว่ารัฐบาลขวาโดยทั่วไปมักเปิดพื้นที่ให้เงินทุนต่างชาติอย่างเสรีมากกว่ารัฐบาลซ้ายด้วยซ้ำ เขาตั้งคำถามว่า หากชิลีปฏิเสธเงินลงทุนจากจีนโดยสิ้นเชิง จะสามารถหันพึ่งพาตนเองได้อย่างเต็มที่ทันทีหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงยังต้องการเงินทุนและเทคโนโลยีจากภายนอก ไม่ว่าจะมาจากจีน สหรัฐฯ หรือยุโรป
กั๋ว เจี๋ย (Guo Jie) ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มองว่าชิลีอาจขยับเข้าใกล้วอชิงตันมากขึ้นในประเด็นด้านความมั่นคง อาชญากรรม และการอพยพ แต่ในภาพรวมด้านนโยบายต่างประเทศ ประเทศยังไม่น่าจะ “เทน้ำหนักเข้าข้างสหรัฐฯ” อย่างชัดเจน เธอย้ำว่าชิลีมีแนวทางการทูตแบบปฏิบัตินิยมมาโดยตลอด ไม่ว่าฝ่ายซ้ายหรือขวาจะอยู่ในอำนาจก็มักรักษาสมดุลกับมหาอำนาจหลัก ตัวอย่างเช่น แม้ในยุคเผด็จการของออกุสโต ปิโนเชต์ (Augusto Pinochet) ความสัมพันธ์กับจีนก็ยังดำเนินไปในระดับที่ดี
แม้คาสต์จะมีจุดยืนอนุรักษนิยมและใกล้ชิดกับทรัมป์ แต่กั๋วเห็นว่ายังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลใหม่จะยึดแนวทาง “ต่อต้านจีน” เธอชี้ว่า สภาพเศรษฐกิจหลังโควิดที่อ่อนแรง และการผูกโยงทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งกับจีน โดยเฉพาะในภาคลิเทียมและภาคยุทธศาสตร์อื่น ๆ ทำให้ชิลีไม่มีทางเลือกที่เป็นจริงในการแยกตัวออกจากจีนในด้านเศรษฐกิจ
กั๋วตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชิลี ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมักสำคัญกว่าอุดมการณ์ทางการเมือง “ในเงื่อนไขเช่นนี้ ชิลีไม่สามารถเว้นระยะจากจีนด้านเศรษฐกิจได้ เพราะดีมานด์จากจีนยังเป็นองค์ประกอบหลัก” เธอกล่าว พร้อมเสริมว่า แม้ในภาคสำคัญอย่างลิเทียม อาจมีการปรับในระดับนโยบายทรัพยากรต้นน้ำ แต่สายโซ่อุปทานโดยรวมก็ยังหลีกเลี่ยงบทบาทของจีนได้ยาก
เธอยังระบุด้วยว่า อิทธิพลเชิงปฏิบัติของสหรัฐฯ ต่อชิลีมีข้อจำกัด และแม้จะเผชิญแรงกดดันจากวอชิงตัน ชิลีก็มีแรงจูงใจไม่มากนักที่จะลดระดับความร่วมมือกับจีน “โดยรวมแล้ว ชิลียังมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างในการรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจ”
ในมุมมองของกั๋ว ชัยชนะของคาสต์อาจนำไปสู่แรงเสียดทานเชิงวาทกรรมบางช่วงสำหรับปักกิ่ง แต่ไม่น่ากระทบต่อแกนหลักของความสัมพันธ์ทวิภาคี เธอย้ำว่าจีนมีประสบการณ์ยาวนานในการทำงานกับทั้งรัฐบาลซ้ายและขวาทั่วย่านลาตินอเมริกา และสำหรับบริษัทจีนเอง แม้ระบบเศรษฐกิจแบบเปิดของชิลี มาตรฐานที่เข้มงวด และความผันผวนเชิงนโยบายจะสร้างความเสี่ยง แต่ผู้เล่นจีนก็สะสมประสบการณ์รับมือมาไม่น้อย ขณะที่มูลค่าการลงทุนโดยรวมของจีนในชิลียังไม่ได้สูงเทียบเท่าตลาดใหญ่แห่งอื่น
ด้านเอกอัครราชทูตจีนประจำชิลี เหนียว ชิงเป่า (Niu Qingbao) แสดงความมั่นใจในความต่อเนื่องของความสัมพันธ์หลังการเลือกตั้ง โดยกล่าวกับสื่อท้องถิ่น El Mercurio ว่านโยบายทวิภาคีไม่ได้ผูกพันกับวัฏจักรการเมืองภายในชิลี เขาระบุว่าตลอด 55 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองประเทศพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่องบนฉันทามติร่วมของทุกรัฐบาลชิลี “นโยบายนี้มีทั้งความต่อเนื่องและเสถียรภาพ”
ในงานฉลองครบรอบ 20 ปีข้อตกลงการค้าเสรีชิลี–จีน เหนียวเสริมว่า “ในทุก ๆ 2 ดอลลาร์ที่ชิลีส่งออก มีอย่างน้อย 1 ดอลลาร์ไปจีน” พร้อมยืนยันว่าฐานทางเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีแนวโน้มยังคงมั่นคง แม้ชิลีอาจขยับเข้าใกล้วอชิงตันในบางมิติของนโยบายก็ตาม
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3336564/chiles-sharp-shift-right-puts-it-centre-china-us-rivalry?module=top_story&pgtype=homepage