.
อดีตนักการทูตจีนเตือน ญี่ปุ่นอาจกลายเป็น “ภัยคุกคามโดยตรงที่สุด” ต่อจีน–รัสเซียในเอเชียแปซิฟิก
17-12-2025
SCMP รายงานว่า อดีตนักการทูตจีนเตือนจีน–รัสเซียจับตาญี่ปุ่น ชี้ไม่เคยสำนึกผิดสงครามโลกครั้งที่ 2–กำลังเร่งเสริมกำลังทหารปักเป้าจีน–รัสเซีย
อู๋ ไห่หลง (Wu Hailong) อดีตรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน และปัจจุบันเป็นประธานสมาคมการทูตสาธารณะจีน (China Public Diplomacy Association) เตือนว่า ญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะกลายเป็น “ภัยคุกคามที่รุนแรงและใกล้ชิดที่สุด” ต่อทั้งจีนและรัสเซียในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมเรียกร้องให้ปักกิ่งและมอสโกร่วมมือกันรับมือพัฒนาการทางการเมืองและความมั่นคงจากโตเกียว
อู๋กล่าวในเวทีเสวนาที่กรุงปักกิ่งซึ่งจัดโดยคลับ Beijing Club for International Dialogue ของสื่อ Guanchazhe (Guancha) ร่วมกับสถาบันวิจัย Valdai Discussion Club จากรัสเซีย โดยมีนักวิเคราะห์จากจีนและรัสเซียกว่า 20 คนเข้าร่วม เขาระบุว่า เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์จีน–รัสเซีย “เลี่ยงไม่ได้ต้องกล่าวถึงปัจจัยญี่ปุ่น” และเห็นว่ามอสโกควรบรรจุ “ความท้าทายจากญี่ปุ่น” เข้าไปในกรอบประเมินยุทธศาสตร์ของตน
คำเตือนของอู๋มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นจากคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซานาเอะ ทะคาอิจิ (Sanae Takaichi) ที่ระบุว่า หากจีนโจมตีไต้หวันอาจเป็นภัยคุกคามเชิงมีอยู่ (existential threat) ต่อญี่ปุ่นและอาจนำไปสู่การที่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นต้องเข้าแทรกแซง จุดยืนดังกล่าวสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในปักกิ่ง ซึ่งมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในและเป็นการละทิ้งยุทธศาสตร์ “ความกำกวมเชิงยุทธศาสตร์” ของโตเกียวต่อไต้หวันที่ใช้นานมาหลายทศวรรษ จีนจึงตอบโต้ด้วยมาตรการต่าง ๆ ต่อญี่ปุ่นในช่วงหลัง
อู๋วิจารณ์ถ้อยคำดังกล่าวว่าเป็น “การแทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งและเป็นอุปสรรคต่อภารกิจยิ่งใหญ่ของจีนในการบรรลุเอกภาพแห่งชาติ” และกล่าวว่าเรื่องนี้ “ย่อมทำให้ฝ่ายจีนต้องยกระดับความระแวดระวังสูงสุด” ปักกิ่งมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนและสงวนสิทธิใช้กำลังหากจำเป็น ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แม้ไม่รับรองไต้หวันเป็นรัฐเอกราช แต่ก็คัดค้านไม่ให้มีการยึดเกาะด้วยกำลังและมีพันธกรณีด้านการจัดหาอาวุธช่วยป้องกันตนเองให้ไทเป
อู๋ย้อนถึงประวัติการยึดครองไต้หวันโดยญี่ปุ่นเป็นเวลา 50 ปีในยุคอาณานิคม และกล่าวหาว่าโตเกียวมีประวัติ “สมคบ” กับกลุ่มการเมืองสายเอกราชบนเกาะมายาวนาน เขากล่าวว่า “ฝ่ายที่ไม่ต้องการเห็นการรวมชาติจีนมากที่สุดคือญี่ปุ่น และพลังภายนอกหลักที่ขัดขวางกระบวนการรวมชาติข้ามช่องแคบก็คือญี่ปุ่นเช่นกัน”
เขายังกล่าวหาว่า ญี่ปุ่น “ไม่เคยทบทวนหรือสำนึกผิดอย่างแท้จริง” ต่ออาชญากรรมรุกรานในสงครามโลกครั้งที่สอง และ “ความทะเยอทะยานในการฟื้นฟูแนวคิดทหารนิยม (militarism) ไม่เคยยุติลง” พร้อมเตือนว่าขีดความสามารถทางทหารของญี่ปุ่นกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเพิ่มงบประมาณกลาโหมและเร่งจัดวางกำลังมุ่งเป้าจีนและรัสเซียเป็นการเฉพาะ
อู๋ให้ความเห็นว่า ญี่ปุ่น “มีแนวโน้มสูงมาก” ที่จะกลายเป็น “ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดและโดยตรงที่สุด” ต่อจีนและรัสเซียในเอเชียแปซิฟิก พร้อมเน้นว่าจีนและรัสเซียในฐานะ “ผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง” มีความรับผิดชอบร่วมกันในการปกป้องระเบียบโลกหลังสงคราม และเตือนว่าการผงาดของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงหากไม่ถูกควบคุมอย่างเหมาะสมอาจก่อ “ผลลัพธ์ที่หายนะ”
เขาย้ำว่า “ไม่ว่าภูมิทัศน์ระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจจะเปลี่ยนไปอย่างไร จีนและรัสเซียจะยังคงเป็นหุ้นส่วนและมิตรที่ไว้วางใจกันได้” พร้อมชี้ให้เห็นว่าปักกิ่งได้ยืนหยัด “จุดยืนที่เป็นกลางและเป็นธรรม” ต่อสงครามในยูเครน โดย “ต้านทานแรงกดดันจากสหรัฐฯ และยุโรป” และรักษาความร่วมมือใกล้ชิดกับมอสโกต่อเนื่อง
อู๋มองว่า แม้การหยุดยิงในยูเครนอาจช่วยปรับบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย แต่ความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์จะยังคงอยู่ และยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการประสานท่าทีระหว่างปักกิ่งกับมอสโก เขาปฏิเสธข้อกังวลบางฝ่ายที่เห็นว่า หากความกดดันต่อรัสเซียจากสงครามยูเครนผ่อนคลายลง มอสโกอาจลดการพึ่งพาจีน โดยระบุว่าความกังวลดังกล่าว “ไม่จำเป็นอย่างยิ่ง”
ในมุมมองของเขา ยุโรปจะยังคงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย และอยู่ในสภาวะ “สับสนและหลงทางอย่างยิ่ง” ด้านยุทธศาสตร์ อู๋กล่าวหาว่าสหรัฐฯ “เดินข้ามหัวยุโรป” ในการเจรจาแก้ปัญหายูเครน ทำให้ยุโรปตกอยู่ในสถานะลำบากใจ และแม้ยุโรปจะเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาวอชิงตันมากเกินไป แต่ก็ “ขาดทั้งความกล้าและขีดความสามารถ” ที่จะหลุดออกจากกรอบนั้น
อู๋เรียกร้องให้ผู้นำยุโรปหันมาสร้างความร่วมมือเชิงปฏิบัติกับจีน โดยเตือนว่าการลังเลอาจทำให้ภูมิภาคพลาดโอกาสสำคัญด้านเศรษฐกิจ เขาระบุว่าจีน “ทนทานต่อแรงกดดันจากยุโรป” ที่ต้องการให้เว้นระยะห่างจากรัสเซียตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 และเตือนว่า “หากไม่มีความร่วมมือกับจีน ยุโรปเสี่ยงพลาดโอกาสหลายด้าน” พร้อมเสริมว่า ในขณะที่สหภาพยุโรปโดยรวมยัง “ลังเลไม่แน่ใจ” ผู้นำบางประเทศในยุโรป “เริ่มอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว”
อู๋ยกตัวอย่างการเยือนจีนของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ของฝรั่งเศสเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นการเยือนครั้งที่สี่ในฐานะผู้นำฝรั่งเศส โดยมาครงใช้เวทีนี้เรียกร้องให้ปักกิ่งสนับสนุนความพยายามหยุดยิงในยูเครน การเยือนดังกล่าวนำไปสู่การลงนามข้อตกลงความร่วมมือ 12 ฉบับ ครอบคลุมตั้งแต่พลังงานนิวเคลียร์ การศึกษา ไปจนถึงโครงการอนุรักษ์หมีแพนด้า
อู๋ระบุว่า “การเป็นหุ้นส่วนกับเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกเป็นทางเลือกที่เป็นจริง” และสรุปว่าจีนจะยังคงใช้ “ความอดทน” รอการขยับตัวครั้งใหญ่จากสหภาพยุโรปโดยไม่เร่งรัด แต่พร้อมเปิดรับโอกาสความร่วมมือเชิงปฏิบัติกับประเทศยุโรปที่ต้องการกระชับสัมพันธ์กับปักกิ่ง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3335782/china-and-russia-must-be-guard-stop-japan-causing-trouble-chinese-ex-diplomat-warns?module=perpetual_scroll_0&pgtype=article