ความท้าทายจีนปี 2025: จากสงครามการค้าถึงวิกฤตตะวันออกกลาง-เดิมพันอนาคตมหาอำนาจเทคโนโลยี
4-1-2025
ทอม ฮาร์เปอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยอีสต์ลอนดอน ระบุว่า จีนกำลังเผชิญความท้าทาย 5 ประการสำคัญ โดยเฉพาะการรับมือนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ หลังทรัมป์เข้าทำเนียบขาวในเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งได้เตรียมรับมือไว้แล้วจากบทเรียนสงครามการค้าครั้งก่อน
ปี 2024 นับเป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับจีนทั้งในด้านเศรษฐกิจภายในประเทศและการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรอย่างรัสเซีย ขณะที่ก้าวเข้าสู่ปี 2025 ปักกิ่งกำลังเผชิญกับ 5 ประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อแผนการในอนาคต
ความท้าทายประการแรกคือการกลับมาของนโยบายแข็งกร้าวต่อจีนของสหรัฐฯ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม โดยได้ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 60% กับจีนและประเทศอื่นๆ ส่อแววสานต่อสงครามการค้าจากสมัยดำรงตำแหน่งก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งได้เรียนรู้และเตรียมรับมือไว้แล้ว สะท้อนจากการที่บริษัทอย่างหัวเว่ยลดการพึ่งพาตลาดและเทคโนโลยีสหรัฐฯ พร้อมขยายธุรกิจสู่ด้านอื่น รวมถึงการใช้มาตรการตอบโต้ เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่จำเป็นสำหรับแบตเตอรี่และตัวเร่งปฏิกิริยา
ประการที่สองคือสงครามเทคโนโลยี ที่สหรัฐฯ พยายามสกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่จีนก็มุ่งเพิ่มการจ้างงานและการผลิตในภาคเทคโนโลยี พร้อมสร้าง "เอฟเฟกต์ปักกิ่ง" เพื่อกำหนดมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลโลก เช่นเดียวกับที่สหภาพยุโรปทำผ่านกฎหมาย GDPR
ประการที่สามคือความขัดแย้งทางการค้ากับสหภาพยุโรป ที่นำไปสู่การตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากร เช่น จีนขึ้นภาษีบรั่นดีฝรั่งเศสหลังถูกจำกัดการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับการหารือขยายบทบาทนาโต้ในเอเชียอาจทำให้บรัสเซลส์-วอชิงตันใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับอียูอาจเอื้อประโยชน์ต่อจีนหากอียูมองหาพันธมิตรใหม่
ประการที่สี่คือการเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย แม้จะเป็นแหล่งทรัพยากรและตลาดสำคัญของกันและกัน แต่ก็ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับยุโรปที่มองว่าจีนสนับสนุนสงครามในยูเครน อย่างไรก็ตาม สงครามยูเครนช่วยเบี่ยงเบนความสนใจสหรัฐฯ จากจีน แต่หากแผนสันติภาพของทรัมป์สำเร็จ อาจทำให้วอชิงตัน-มอสโกปรองดองกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อปักกิ่ง
ประการสุดท้ายคือความไม่สงบในตะวันออกกลาง ทั้งความเสี่ยงสงครามอิหร่าน-อิสราเอลที่อาจกระทบการนำเข้าน้ำมัน และการปะทุของสงครามกลางเมืองซีเรีย ที่มีชาวอุยกูร์เข้าร่วมกับพรรคอิสลามเติร์กสถาน (TIP) ต่อต้านอัสซาด สร้างความกังวลว่าอาจนำอาวุธมาใช้ในการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนในซินเจียง ซึ่งที่ผ่านมาจีนได้กักขังชาวอุยกูร์กว่าล้านคนในค่ายกักกัน พร้อมบังคับใช้นโยบายปรับทัศนคติและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด จนถูกนานาชาติวิจารณ์ว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการ
แม้จะเผชิญความท้าทายมากมาย แต่จีนก็เตรียมรับมือไว้แล้ว โดยเฉพาะการศึกษามาตรการคว่ำบาตรที่ตะวันตกใช้กับรัสเซีย ซึ่งอาจถูกนำมาใช้กับจีนหากเกิดวิกฤตไต้หวัน โดยปี 2025 จะเป็นปีสำคัญที่จะกำหนดว่าจีนจำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรใหม่ พัฒนาตลาดใหม่ และเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีหรือไม่
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/01/five-things-at-the-top-of-chinas-agenda-for-2025/