กลุ่ม HTS ซีเรียโค่นอัสซาด เปลี่ยนดุลอำนาจตะวันออกกลาง สหรัฐ-ตุรกี-อิสราเอลได้เปรียบ รัสเซีย-อิหร่านเสียท่า
10-12-2024
การล่มสลายของระบอบการปกครองซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ได้เปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในตะวันออกกลางและการเมืองโลกอย่างฉับพลัน หลังกลุ่มกบฏอิสลามิสต์ "ฮายัต ตาห์ริร อัล-ชาม" ทำการรุกคืบอย่างรวดเร็วในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จนสามารถยึดกรุงดามัสกัสได้สำเร็จในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้อัสซาดต้องลี้ภัยไปยังรัสเซีย
ชาติตะวันตกรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากกังวลถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการนองเลือดเพิ่มเติมและสุญญากาศทางอำนาจในซีเรีย หากการเปลี่ยนผ่านผู้นำเกิดขึ้นอย่างวุ่นวายและมีการแย่งชิงอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ผ่านสงครามกลางเมืองอันโหดร้ายมา 13 ปี และมีกลุ่มแข่งขันหลายฝ่าย รวมถึงกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม
นักวิเคราะห์ระบุว่า รัสเซียและอิหร่านคือผู้แพ้รายใหญ่จากการโค่นล้มผู้นำซีเรีย ขณะที่สหรัฐฯ ตุรกี และอิสราเอลถือเป็นผู้ได้ประโยชน์หลัก ฮอลเกอร์ ชไมดิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารเบเรนเบิร์ก ชี้ว่าการล่มสลายของรัฐบาลอัสซาดส่งผลกระทบเกินขอบเขตซีเรีย โดยเฉพาะอิหร่านที่สูญเสียเส้นทางหลักในการส่งอาวุธให้กลุ่มเฮซบอลลาห์ในเลบานอน
ตุรกีกลายเป็นผู้เล่นต่างชาติที่ทรงอิทธิพลที่สุดในซีเรีย ด้วยความได้เปรียบจากพรมแดนที่ติดกันยาว 560 ไมล์ และบทบาทในการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านอัสซาดมาตั้งแต่เริ่มสงครามกลางเมืองในปี 2554 อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อไม่เกิดสุญญากาศทางอำนาจที่เป็นอันตราย และการถ่ายโอนอำนาจเป็นไปอย่างสันติ
สำหรับสหรัฐฯ การล่มสลายของรัฐบาลอัสซาดถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลงอย่างมาก นักวิเคราะห์คาดว่าจะส่งผลดีต่อตลาดการเงินโลก กระตุ้นความเชื่อมั่นและการไหลเข้าของเงินลงทุนสู่สินทรัพย์สหรัฐฯ
ด้านรัสเซียนอกจากเสียพันธมิตรสำคัญแล้ว ยังเสี่ยงสูญเสียฐานทัพในซีเรีย ทั้งฐานทัพอากาศฮเมมิมและฐานทัพเรือตาร์ตุสที่เป็นประตูสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แม้กองกำลังกบฏจะให้คำมั่นรับประกันความปลอดภัย แต่อนาคตระยะยาวของการปรากฏตัวทางทหารรัสเซียในซีเรียยังไม่แน่นอน สถานการณ์นี้ยังอาจส่งผลให้รัสเซียต้องเจรจาสันติภาพในยูเครนจากจุดที่อ่อนแอลง
ส่วนอิหร่านกำลังเผชิญความท้าทายหนักหน่วง หลังสูญเสียพันธมิตรสำคัญและเส้นทางส่งอาวุธให้กองกำลังตัวแทนในภูมิภาค ประกอบกับการที่อิสราเอลได้ทำลายกำลังของเฮซบอลลาห์และฮามาสจนอ่อนแอ นักวิเคราะห์บางส่วนถึงขั้นตั้งคำถามถึงเสถียรภาพภายในของรัฐบาลอิหร่านเอง
เนื้อข่าวต่อ:
ยุโรปอาจได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์นี้ หากนำไปสู่การลดลงของผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้าภูมิภาค ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้กระตุ้นกระแสต่อต้านผู้อพยพและการเติบโตของพรรคประชานิยมในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงในซีเรียจะนำไปสู่เสถียรภาพหรือความขัดแย้งรอบใหม่
เดวิด โรช จากควอนตัม สแตรทีจี มองว่าการล่มสลายของรัฐบาลอัสซาดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปี ที่สั่นคลอน "แกนอำนาจเผด็จการ" โดยเฉพาะอิหร่านที่กำลังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากมาตรการคว่ำบาตรที่ทรัมป์เตรียมใช้ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง และอาจต้องเผชิญปฏิบัติการทางทหารเพื่อยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ในช่วงปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569
บิล เบลน นักยุทธศาสตร์การตลาด ระบุว่าสถานการณ์ใหม่นี้อาจส่งผลดีต่อวิสัยทัศน์การค้าโลกของทรัมป์ ทั้งในแง่การตอกย้ำความสำคัญของดอลลาร์สหรัฐ และการสร้างความเชื่อมั่นที่จะกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐฯ
ทิโมธี แอช นักยุทธศาสตร์ตลาดเกิดใหม่จากบลูเบย์ แอสเซท แมเนจเมนต์ ชี้ว่าการล่มสลายของอัสซางเป็น "ความอัปยศครั้งใหญ่สำหรับปูติน" ที่มักอวดอ้างว่าไม่เคยทอดทิ้งพันธมิตร และสะท้อนข้อจำกัดของกองทัพรัสเซียที่ไม่สามารถรบหลายแนวรบพร้อมกัน อาจนำไปสู่การเจรจาสันติภาพในยูเครนจากจุดที่อ่อนแอ
ท้ายที่สุด ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในซีเรียจะขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลใหม่ในการสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศที่แตกแยกจากสงครามกลางเมืองยาวนาน และต้องการเงินช่วยเหลือและการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูประเทศ ขณะที่ประชาคมโลกจับตาดูการจัดวางดุลอำนาจใหม่ในภูมิภาคที่จะส่งผลต่อทั้งการเมืองและเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
---
IMCT NEWS