อินโดนีเซียอ่วม! สิ้นยุค ‘เยนราคาถูก’
อินโดนีเซียอ่วม! สิ้นยุค ‘เยนราคาถูก’ หลังญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ย ดูดเงินทุนไหลกลับญี่ปุ่น เขย่ารูเปียห์-หนี้เอกชน บีบประเทศหันพึ่งทุนจีนหนักกว่าเดิม
20-12-2025
Asia Times รายงานว่า การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สู่ระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ถือเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ ประเทศอินโดนีเซีย (Indonesia) หวาดกลัวมาโดยตลอดแต่ทำได้เพียงหวังให้เกิดขึ้นช้าที่สุด โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นร้อยละ 0.75 ของ คาซูโอะ อูเอดะ (Kazuo Ueda) ผู้ว่าการ BOJ ไม่เพียงแต่เป็นการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินเยนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตลอดหนึ่งชั่วอายุคนที่ผ่านมา การเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเสถียรภาพทางการคลังของอินโดนีเซียถูกหนุนหลังด้วย "Yen Carry Trade" หรือสภาพคล่องราคาถูกมหาศาลจากญี่ปุ่นที่ไหลเข้าสู่พันธบัตรรัฐบาลและโครงการของภาคเอกชน เมื่อแหล่งเงินทุนนี้เริ่มเหือดแห้ง รัฐบาลจาการ์ตาจึงต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายว่ายุคแห่งการอุดหนุนจากญี่ปุ่นได้สิ้นสุดลง และต้นทุนของวิสัยทัศน์ "Golden 2045" กำลังถูกปรับราคาใหม่ในระดับที่สูงขึ้นอย่างมาก
สถานการณ์ดังกล่าวนับเป็นภาวะ "ช็อกเชิงระบบ" ต่อบัญชีทุนของอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของค่าเงิน รูเปียะห์ (Rupiah) และบีบให้ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (Bank Indonesia) ต้องเข้าสู่ภาวะตั้งรับ เนื่องจากการไหลกลับของเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันญี่ปุ่นเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในโตเกียว จะทำให้เกิดสุญญากาศในตลาดพันธบัตรและผลักดันให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสูงขึ้น ท่ามกลางภาระผูกพันในการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและตาข่ายทางสังคมที่ขยายตัวอย่างมาก อันตรายที่เร่งด่วนที่สุดคือการไหลออกอย่างรุนแรงของเงินทุนที่เคยใช้เยนเป็นฐาน ซึ่งหากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของ BOJ และอินโดนีเซียแคบลง อาจทำให้เกิดการเทขายเงินรูเปียะห์ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่เหตุการณ์ "Taper Tantrum" ในปี 2013
ความผันผวนของค่าเงินไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของธนาคารกลางเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและการผลิตที่มีหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศจำนวนมาก แม้คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่การแข็งค่าของเงินเยนทำให้หนี้ที่กู้มาเพื่อซื้อเครื่องมืออุตสาหกรรมระยะยาวแพงขึ้นทันที ส่งผลให้กำไรของบริษัทเหมืองในซูลาเวสีหรือโรงงานสิ่งทอในชวาตะวันตกลดลง นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังตกอยู่ใน "กับดักสายเหยี่ยว" (Hawkish Trap) ที่อาจถูกบีบให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาค่าเงินแม้เศรษฐกิจในประเทศต้องการการชะลอตัวก็ตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงภาระหนี้ครัวเรือนและต้นทุนสินเชื่อของกลุ่ม SME ที่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ จนอาจทำให้เครื่องยนต์หลักอย่างการบริโภคภายในประเทศต้องหยุดชะงักลง
ในเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากญี่ปุ่นเคยเป็น "พันธมิตรที่ได้รับความนิยมสูงสุด" ของอินโดนีเซียที่ช่วยคานอำนาจกับ ประเทศจีน (China) ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูงอย่างรถไฟฟ้า MRT จาการ์ตา หรือท่าเรือปะติมบัน ทว่าเมื่อต้นทุนเครดิตเงินเยนสูงขึ้น ความได้เปรียบในการแข่งขันของญี่ปุ่นจะลดลงและกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่รัฐบาลจาการ์ตาอาจแบกรับไม่ไหวอีกต่อไป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์อย่างห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของนโยบายอุตสาหกรรมภายใต้ประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) ที่ตั้งเป้าจะผลักดันอินโดนีเซียสู่กลุ่มเศรษฐกิจชั้นนำของโลก
ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ยานยนต์ญี่ปุ่นอย่าง โตโยต้า (Toyota), ฮอนด้า (Honda) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) เริ่มมีความสามารถในการระดมทุนที่จำกัดลงจากการขยับดอกเบี้ยของ BOJ จีนได้ก้าวเข้ามาครอบงำตลาด EV และจะใช้สุญญากาศนี้ในการอัดฉีดเงินทุนระยะยาวและแหล่งเงินสนับสนุนจากภาครัฐที่ไม่หวั่นไหวต่อการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่น ส่งผลให้อินโดนีเซียต้องพึ่งพา จีน (China) ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเกือบทั้งหมด สถานการณ์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดนโยบายต่างประเทศทางเศรษฐกิจแบบ "เป็นอิสระและกระตือรือร้น" ของอินโดนีเซีย เมื่อความพึ่งพาที่มีต่อปักกิ่งฝังรากลึกขึ้น จาการ์ตาจะถูกดึงดูดเข้าสู่โครงสร้างทางการเงินที่มีเงินหยวนเป็นศูนย์กลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมองไปข้างหน้าสู่ปี 2026 แผนที่การเงินของอินโดนีเซียจะถูกนิยามด้วย "การบูรณาการภาคบังคับ" กับ ประเทศจีน (China) ในขณะที่เงินเยนแข็งค่าและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของญี่ปุ่นถอยร่น เราจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนในสกุลเงินหยวนอย่างมหาศาล ความเป็นจริงในยุค "หลังเงินเยน" ของอินโดนีเซียคือการที่แกนจาการ์ตา-ปักกิ่ง จะไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นทางการเงิน แม้ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อช่วยค่าเงินเยนจากการล่มสลาย แต่ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจคือการเร่งให้ญี่ปุ่นสูญเสียอิทธิพลในหมู่เกาะอินโดนีเซียเร็วขึ้น เส้นทางสู่ "Indonesia Golden 2045" ยังคงเปิดอยู่ แต่จะเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ความผันผวนที่มากขึ้น และการพึ่งพา ประเทศจีน (China) ที่ลึกซึ้งกว่าเดิมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/12/indonesia-among-big-losers-of-the-end-of-cheap-yen/