.
ปฏิบัติการ ‘ปล้น’ ในบรัสเซลส์: เมื่อ EU แลกหลักนิติธรรมกับทรัพย์สินรัสเซีย €210,000 ล้าน! ปิดตำนานเซฟเฮาส์ เขย่า ‘Euroclear’ ทำจีน-ตะวันออกกลางผวาฝากเงินในยุโรป
19-12-2025
Asia Time นำเสนอรายงานเชิงวิเคราะห์ว่า ปฏิบัติการ ‘ปล้น’ ในบรัสเซลส์: เมื่อ EU ยอมแลกหลักนิติธรรมกับทรัพย์สินรัสเซีย €2.1 แสนล้าน ท่ามกลางความเสี่ยงซ้ำรอยบทเรียนนโปเลียน
ชนชั้นนำของสหภาพยุโรป (EU) กำลังจะได้เรียนรู้บทเรียนเดียวกับที่จักรพรรดินโปเลียนเคยเผชิญในมอสโก ว่าการบุกรุกบางครั้งอาจต้องจ่ายราคาแพงกว่าสิ่งที่ได้รับมามากนัก ประเด็นอื้อฉาวเกี่ยวกับการโจรกรรมอัญมณีในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบรัสเซลส์ขณะนี้คือปฏิบัติการ "ปล้น" ครั้งใหญ่ในห้องประชุมลับ เมื่อเหล่าผู้นำที่เคยพร่ำสอนโลกเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของหลักนิติธรรม กำลังวางแผนเปลี่ยนทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัดไว้มูลค่าประมาณ 2.1 แสนล้านยูโร (€210,000,000,000) ให้กลายเป็นเครื่องพิมพ์เงินของยุโรป
การดำเนินการครั้งนี้ EU กำลังแลกความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย ความไว้วางใจทางการเงิน และความสอดคล้องของสถาบัน กับทางลัดที่นอกจากจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แล้ว ยังสร้างความเสียหายถาวร เหล่าผู้นำที่อ่อนแอในบ้านตนเองและขาดนโยบายที่ชัดเจนต่อยูเครน กำลังสวมรอยเป็นนักบัญชีหัวหมอเพื่อหาข้ออ้างในการเปลี่ยน "การริบทรัพย์" ให้กลายเป็น "ยุทธศาสตร์" โดยใช้ความโกรธแค้นทางศีลธรรมมาเป็นฉากหน้าในการฉีกสนธิสัญญาที่เคยศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของ "ปรากฏการณ์บรัสเซลส์" (Brussels Effect) ที่เปลี่ยนจากการยึดมั่นในหลักการสู่การฉวยโอกาสทางการเงิน
1. ลัทธิยึดถือความสะดวกทางการเมือง (The Theology of Convenience)
ก่อนเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เจ้าหน้าที่ยุโรปเคยประกาศตนเป็นผู้พิทักษ์ความบริสุทธิ์ของรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้น แต่ "หลักการ" ที่เคยยึดถือกลับเปลี่ยนไปตามความสะดวกทางการเมืองทันทีที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจาก Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) โดยเฉพาะหลังจากแผนยูเครน 28 ประเด็นของ Trump-Putin ถูกนำเสนอ ซึ่งมีเนื้อหาในการนำทรัพย์สินรัสเซียมาสร้างผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้กับวอชิงตันและมอสโก
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า EU ดำเนินการโดยขาดจุดยืนที่มั่นคง แต่ทำไปเพราะความกลัวที่จะถูกกีดกันออกจากผลประโยชน์ทางการเมือง และเพื่อความอยู่รอดของตนเอง โดยมีรายงานยืนยันว่า Donald Tusk (โดนัลด์ ทัสก์) นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ได้ชี้ให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างวอชิงตันและบรัสเซลส์ เมื่อฝ่ายอเมริกาเตือนว่า "อย่าแตะต้องทรัพย์สินรัสเซียเหล่านี้" แต่ Ursula von der Leyen (อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน) และ Friedrich Merz (ฟรีดริช แมร์ซ) กลับยังคงเดินหน้าตามแผนการที่ใช้มาตรการแบบมาเฟีย ‘Ndrangheta ทั้งการใช้อำนาจตามมาตรา 122 (Article 122) เพื่อหลีกเลี่ยงมติเอกฉันท์ และการข่มขู่รัฐสมาชิกอย่างอิตาลี (Italy) ว่าจะได้รับผลกระทบทางอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Ratings) หากไม่สนับสนุนแผนนี้ ขณะที่ Viktor Orban (วิกเตอร์ ออร์บาน) นายกรัฐมนตรีฮังการี เรียกปฏิบัติการนี้ว่าเป็น "การประกาศสงครามอย่างเปิดเผย"
2. เงินกู้เพื่อการชดเชยและหล่มกฎหมาย (Reparations Loan)
แผนการของบรัสเซลส์คือการนำเงินสำรองของธนาคารกลางรัสเซียมาเป็นหลักประกันสำหรับเงินกู้ดอกเบี้ย 0% ให้แก่ยูเครน ซึ่งเป็นการริบทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของ EU ไปมอบให้กับประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก โดยมีภาระผูกพันที่อาจทำให้ผู้เสียภาษีชาวยุโรปต้องแบกรับหนี้สินที่สูงกว่าวิกฤตหนี้กรีซ (Greek Debt Crisis)
แผนการนี้ถูกนักวิชาการอย่าง Luuk van Middelaar ตั้งคำถามถึงความชอบธรรม ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปฏิเสธที่จะสนับสนุนโดยระบุว่าเป็น "การอุดหนุนทางการเงินที่ต้องห้าม" (Monetary Financing) แม้แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังเตือนถึงผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้ต่อระบบการเงินโลก เนื่องจากยูเครนมีความสามารถในการชำระคืนที่ไม่แน่นอน และการฝากความหวังไว้ว่ารัสเซียจะชดใช้หลังจบสงครามถือเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริง
3. ระเบิดเวลา Euroclear (Euroclear Time Bomb)
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดอยู่ที่ Euroclear สถาบันในเบลเยียม (Belgium) ที่ถือครองเงินสำรองรัสเซียอยู่ 1.85 แสนล้านยูโร ทั่วโลกกำลังจับตามองว่าความมั่นคงทางการเงินจะถูกบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างไร ต่อจากนี้รัฐบาลใน Beijing (ปักกิ่ง), Riyadh (ริยาด), Delhi (เดลี) และ Abu Dhabi (อาบูดาบี) ย่อมต้องตั้งคำถามว่า "เราจะเป็นรายต่อไปหรือไม่?" เมื่อเส้นแบ่งระหว่างคู่ขัดแย้งและผู้ฝากเงินหายไป
Valerie Urbain (วาเลอรี อูร์แบ็ง) ซีอีโอของ Euroclear ได้ส่งสัญญาณพร้อมฟ้องร้อง EU หากโครงสร้างที่เลือกใช้เข้าข่ายการริบทรัพย์ เนื่องจากเบลเยียมจะเป็นผู้แบกรับภาระทางกฎหมายเพียงผู้เดียวเมื่อรัสเซียกลับมาทวงถามทรัพย์สินคืนหลังสิ้นสุดการคว่ำบาตร ปัจจุบันเบลเยียมจึงเรียกร้องให้มีการแบ่งปันความเสี่ยง (Risk Mutualization) ระหว่างรัฐสมาชิกทั้งหมด
4. แผลที่กรีดตัวเอง (Self-inflicted Wound)
สงครามของรัสเซียนั้นผิดกฎหมายและต้องมีการรับผิดชอบ แต่ความล่มสลายทางเศรษฐกิจของยุโรปไม่ได้เกิดจากการรุกรานของรัสเซียเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการตัดสินใจของบรัสเซลส์เอง ทั้งการตัดขาดพลังงานรัสเซียโดยไม่มีการเตรียมตัว และนโยบาย "Wandel durch Handel" (การเปลี่ยนแปลงผ่านการค้า) ที่ล้มเหลวชั่วข้ามคืน
ยุโรปกำลังต่อสู้กับสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมายเสียเอง (Fighting illegality with illegality) แทนที่จะใช้ทางเลือกอื่น เช่น การใช้ระดับความน่าเชื่อถือ AAA ของนอร์เวย์ (Norway) มาค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งนอร์เวย์ได้รับกำไรมหาศาลจากการขายก๊าซราคาแพงให้ยุโรปในช่วงสงคราม แต่บรัสเซลส์กลับเลือกทางที่ทำลายรากฐานทางกฎหมายของตนเอง
5. บรรทัดฐานที่ทำลายตนเอง (Precedent that Devours Itself)
ธนาคารกลางและกระทรวงการคลังทั่วโลกต่างเตือนว่า เมื่อบรรทัดฐานถูกทำลาย ความเชื่อมั่นจะระเหยหายไป การกระทำครั้งนี้ส่งสัญญาณถึงทุกธนาคารกลางว่า เงินสำรองในสกุลเงินยูโรที่ฝากไว้ในยุโรปสามารถถูกริบได้ทุกเมื่อด้วยเหตุผลทางการเมือง แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอย่าง Joseph Stiglitz ยังให้ความเห็นในเชิงที่ว่าระบบกำลังถูกรื้อถอนเพียงเพราะทางเลือกในการถอนตัวนั้นมีจำกัด
ท้ายที่สุด หากบรัสเซลส์ผลักดันแผนนี้จนสำเร็จ ผลกระทบทางการเมืองจะรุนแรงกว่าความช่วยเหลือทางการเงินที่ยูเครนได้รับ ชัยชนะในครั้งนี้จะถูกจารึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นนำในยุโรปละทิ้งความพยายามที่จะใช้กฎหมายควบคุมอำนาจ และเปลี่ยนจากการสร้างกรอบระเบียบมาเป็นการใช้อำนาจอย่างไร้ขีดจำกัด การริบทรัพย์ที่ถูกฉาบหน้าด้วยคำว่า "ความยุติธรรม" จะทิ้งรอยร้าวไว้ในความน่าเชื่อถือของยุโรปที่ไม่อาจกู้คืนได้ และเหล่าผู้นำอย่าง von der Leyen, Merz, Macron (มาครง) และ Sanchez (ซานเชซ) จะต้องลงจากตำแหน่งไปโดยทิ้งภาระให้ผู้สืบทอดต้องตอบคำถามว่า เหตุใดคำมั่นสัญญาของยุโรปจึงไม่มีค่าอีกต่อไป
ผู้นำยุโรปกำลังจะได้เรียนรู้เช่นเดียวกับที่นโปเลียนได้พบในมอสโก: การปล้นบางครั้งต้องจ่ายราคาที่สูงเกินกว่าสิ่งที่ได้รับมา และผลพวงที่ตามมาจะเป็นทั้งคดีความ การไหลออกของเงินฝาก ค่าเงินยูโรที่อ่อนแอลง และระเบียบทางการเงินที่ผุกร่อนด้วยบรรทัดฐานที่อันตรายนี้
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/12/the-eus-great-frozen-russian-asset-holdup/