ทำไม 'รัฐบาลทรัมป์' จึงเดินเกมกดดันเวเนซุเอลา?
ทำไม 'รัฐบาลทรัมป์' จึงเดินเกมกดดันเวเนซุเอลา?
17-12-2025
Investing . com รายงานโดยอ้างรอยเตอร์ว่า รัฐบาลทรัมป์เดินหน้ากดดันเวเนซุเอลาด้วยยุทธศาสตร์หลายมิติควบคู่กัน ทั้งการใช้กรอบ “สงครามกับขบวนการค้ายาเสพติด” การฟื้นแนวคิด Monroe Doctrine การเล่นเกมด้านน้ำมันและทรัพยากร ตลอดจนการเมืองกับคิวบาและนโยบายผู้อพยพ ซึ่งกำลังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในซีกโลกตะวันตก
รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) และรัฐมนตรีกลาโหมพีต เฮกเซธ (Pete Hegseth) มีกำหนดเปิดการบรรยายสรุปแบบปิดและเป็นความลับแก่สมาชิกวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ทุกคนในวันอังคาร เพื่ออธิบายยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทรัมป์ต่อเวเนซุเอลา แม้จะผ่านมากว่า 3 เดือนครึ่งแล้ว มีปฏิบัติการโจมตีเรือเป้าหมายมากกว่า 20 ครั้งนอกชายฝั่งประเทศในอเมริกาใต้ และมีการเสริมกำลังทหารขนาดใหญ่ในทะเลแคริบเบียน แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของทำเนียบขาวยังคงไม่ชัดเจนสำหรับสมาชิกรัฐสภาจำนวนมาก
### มิติ “สงครามยาเสพติด”
รัฐบาลทรัมป์แจ้งต่อสภาคองเกรสเมื่อเดือนตุลาคมว่าสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ “ความขัดแย้งด้วยอาวุธ” (armed conflict) กับกลุ่มค้ายา โดยกล่าวหาว่าประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร (Nicolas Maduro) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการลักลอบส่งยาเสพติดที่คร่าชีวิตชาวอเมริกัน แม้มาดูโรจะปฏิเสธก็ตาม
รัฐบาลวอชิงตันยังขึ้นบัญชีกลุ่ม Tren de Aragua แก๊งชาวเวเนซุเอลาที่เริ่มต้นจากระบบเรือนจำ และกลุ่ม Cartel de los Soles ซึ่งเป็นคำเรียกรวมเจ้าหน้าที่เวเนซุเอลาที่ถูกกล่าวหาพัวพันกับยาเสพติด ให้เป็น “องค์กรก่อการร้ายต่างชาติ” (foreign terrorist organizations) นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เคยยื่นฟ้องมาดูโรในข้อหา “นาร์โกเทอร์ริซึม” (narcoterrorism) ตั้งแต่ปี 2020 ในสมัยแรกของทรัมป์ในทำเนียบขาว
ข้อมูลของสหรัฐฯ ระบุว่า เวเนซุเอลาเป็นประเทศทางผ่าน (transit country) ของโคเคนที่ส่งต่อไปยุโรปและสหรัฐฯ และเป็นที่หลบซ่อนตัวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่ลักลอบค้ายา แม้ตัวประเทศเองจะไม่ใช่แหล่งผลิตเฟนทานิล ยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ก็ตาม
### Monroe Doctrine เวอร์ชันทรัมป์
ในเดือนนี้ ทรัมป์เผยแพร่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ โดยเสนอให้รื้อฟื้นหลักการ Monroe Doctrine ศตวรรษที่ 19 ซึ่งประกาศให้ซีกโลกตะวันตกเป็น “เขตอิทธิพล” ของวอชิงตัน ยุทธศาสตร์ดังกล่าวยกให้ภูมิภาคนี้ขึ้นเป็นลำดับต้นๆ ของนโยบายต่างประเทศรัฐบาลทรัมป์ และสะท้อนแนวคิดใช้บทบาทของสหรัฐฯ เพื่อขัดขวางไม่ให้ปักกิ่งเข้าถึงทรัพยากรสำคัญ อย่างฐานทัพหรือแหล่งแร่และโลหะยุทธศาสตร์
ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดจากสหรัฐฯ รัฐบาลมาดูโรได้หันไปทำข้อตกลงด้านพลังงานและเหมืองแร่กับจีน เช่นเดียวกับอิหร่านและรัสเซีย การรณรงค์กดดันที่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลที่เป็นมิตรต่อสหรัฐฯ มากขึ้น จึงถูกมองว่าจะช่วยเสริมอิทธิพลอเมริกันในภูมิภาคได้อย่างมีนัยสำคัญ
มาเรีย โครีนา มาชาโด (Maria Corina Machado) ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลาและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้สัมภาษณ์รายการ Face the Nation ของสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันอาทิตย์ว่า เธอ “สนับสนุนอย่างเต็มที่” ต่อยุทธศาสตร์ของทรัมป์ โดยระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ ได้ยกระดับเวเนซุเอลาให้กลับมาอยู่ในลำดับความสำคัญด้านความมั่นคงแห่งชาติของวอชิงตันตามที่เธอเรียกร้องมาหลายปี
### น้ำมันและทรัพยากรในซีกโลกตะวันตก
มาดูโรกล่าวหาว่าเป้าหมายของวอชิงตันที่แท้จริงคือ “น้ำมันของเวเนซุเอลา” ซึ่งส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปยังจีน เวเนซุเอลามีปริมาณน้ำมันสำรองพิสูจน์แล้วมากที่สุดในโลก และนักวิเคราะห์มองว่า การเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้อาจเป็น “ไพ่ต่อรอง” สำคัญของมาดูโรในการรับมือกับทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ยังมีบริษัทตะวันตกบางแห่ง เช่น Chevron ของสหรัฐฯ ที่ได้รับใบอนุญาตพิเศษให้ดำเนินกิจการในเวเนซุเอลา แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศกลับล้าหลัง ปริมาณการผลิตต่ำมากเมื่อเทียบกับขนาดสำรอง และการคว่ำบาตรต่อเนื่องทำให้ยากต่อการดึงดูดเงินลงทุนและจัดหาอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนที่จำเป็น
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า แม้น้ำมันเวเนซุเอลาจะเป็นที่สนใจของทรัมป์ แต่ประเด็นใหญ่กว่าคือการที่ประเทศหนึ่งในซีกโลกตะวันตกซึ่งมีน้ำมัน แร่ และแร่หายาก (rare earths) มากมาย กลับผูกพันใกล้ชิดกับคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ อย่างจีนและรัสเซีย เดวิด สไมล์ดี (David Smilde) ผู้เชี่ยวชาญเวเนซุเอลาจากมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane University) กล่าวว่า “การที่คุณมีประเทศหนึ่งในซีกโลกของเราเอง มีทั้งน้ำมัน แร่ และ rare earths แต่พันธมิตรหลักกลับเป็นจีนกับรัสเซีย นั่นไม่สอดคล้องกับมุมมองโลกของทรัมป์เลย”
### คิวบาและเครือข่ายพันธมิตรของทรัมป์
พันธมิตรทางการเมืองคนสำคัญของทรัมป์จำนวนมาก โดยเฉพาะรูบิโอซึ่งมีพื้นเพคิวบา‑อเมริกัน สนับสนุนมาตรการแข็งกร้าวต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์คิวบามายาวนาน พวกเขามองว่ารัฐบาลมาดูโรและรายได้จากน้ำมันคือเสาหลักสำคัญที่ค้ำจุนประธานาธิบดีมิเกล ดิอาซ‑กาเนล (Miguel Díaz‑Canel) และผู้นำในฮาวานา การเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองในเวเนซุเอลาจึงถูกคาดหวังว่าจะส่งแรงกระเพื่อมสั่นคลอนคิวบาไปพร้อมกัน
### ผู้อพยพเวเนซุเอลาและการเมืองภายในสหรัฐฯ
อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าตัดสถานะการพำนักตามกฎหมายของชาวเวเนซุเอลาหลายแสนคนในสหรัฐฯ ภายใต้นโยบาย “mass deportations now” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ช่วยขับเคลื่อนชัยชนะในการเลือกตั้งสมัยล่าสุดของเขา
ประชากรเชื้อสายเวเนซุเอลาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 600% ระหว่างปี 2000 ถึง 2021 จากราว 95,000 คน เป็น 640,000 คน ตามการวิเคราะห์ของ Pew Research Center บนฐานข้อมูลสำมะโนประชากรสหรัฐฯ สะท้อนแรงกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศบ้านเกิด
ในมุมมองของทำเนียบขาว การยุติความไม่มั่นคงและความไร้เสถียรภาพในเวเนซุเอลา จะช่วยลดแรงจูงใจให้ชาวเวเนซุเอลาอพยพออกนอกประเทศและมุ่งหน้าเข้าสู่สหรัฐฯ ทั้งในช่องทางปกติและผิดกฎหมาย ซึ่งโยงตรงกับวาระ “ความมั่นคงชายแดนและผู้อพยพ” ที่เป็นแกนกลางของการเมืองภายในสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.investing.com/news/world-news/explainerwhy-is-the-trump-administration-putting-pressure-on-venezuela-4410132